ข้อคิดจาก "จตุรงค์ สุขเอียด" ในวันที่วงการสื่อหมองหม่น
เฟซบุ๊ก จตุรงค์ สุขเอียด
เฟซบุ๊ก จตุรงค์ สุขเอียด
เรื่องส่วนตัวของผม ในวันที่ฟ้าวงการสื่อหมองๆหม่นครับ....วันที่ผมมากรุงเทพฯ เมื่อปี 37 จำได้ว่าขอเงินแม่มาได้พันกว่าบาท จึงขึ้นรถไฟมาอาศัยเพื่อนอยู่แฟลตคลองจั่น
ผมจำได้ว่า ตกงานอยู่ 3-4 เดือน จนพี่จอม เพชรประดับ แนะนำให้ไปสมัครงาน ที่โต๊ะการศึกษา นสพ.มติชน ผมทำไม่ได้แม้แต่พิมพ์ดีด
แต่ก็ได้รับโอกาสให้ทดลองงานฟรีอยู่เกือบครึ่งเดือน จนได้งานทำ แล้วรุ่นๆพี่ (ดี้ ภาวิณี เจริญยิ่ง พี่ปฎิวัติ วสิกชาติและพี่ต่อศักดิ์ ประศาสน์ศิลป์ ) ก็สอนอบรมมาได้เป็นนักข่าว นสพ.เงินเดือนก็จับต้นชนปลายไม่ถึงไหน
ผมลาออกกลับไปบ้านแล้วบวชอยู่ จนมีการตั้งค่ายไอทีวี ขึ้นมา พี่ๆจากมติชนก็ย้ายมาด้วยจึงชวนกลับขึ้นมาอีก
ผมพบว่า เส้นทางข่าวทีวีมันโหดร้ายมากสำหรับ คนพูดทองแดงและลิ้นแข็งอย่างผม ผมอายและกลัวมาก จึงได้แต่ทำข่าวหลังกล้องอยู่หลายปี ทำแต่ข่าวให้คนอื่นๆ อ่านให้
ผมใช้ความขยันแทนการเลือกทำงานเอาหน้า บางวันจึงมีหมายข่าวด่วนให้ทำ 5-6 หมาย ผมก็ไปทุกสาย เพื่อให้มีที่ยืนในไอทีวี เพราะเปิดหน้าและลงเสียงไม่ได้
ทำให้หลาย บ.ก.เรียกใช้งานได้ข้ามสายมาตลอด
ข่าวที่ยาก ที่ซุ่มก็ต้องไปทำเพื่อทดแทนกับการเปิดหน้าอ่านเองไม่ได้
จนผมได้รับการอบรมการลงเสียงเรื่อยมา
แล้วสิ่งหนึ่งที่ผมทำมาตลอดคือฟังผู้รู้สอน จนผมมีงานที่แปลกแหวกแนวขึ้นทุกวัน จนเมื่อผมลงเสียงเองได้ มีคนทักว่า ถ้าเสียงคนนี้มาก็ต้องหันมาดูก่อน เพราะเป็นเรื่องไม่ปกติแน่
จนมีการเปลี่ยนพิธีกรถอดรหัส จากหัวหน้าผมคือพี่ก่อเขตต์ จันทร์เลิศลักษณ์ ซึ่งเป็นครูคนสำคัญของผมด้วย ออกไป ก็ขอให้ผมทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่นั้นแทน ผมบ่ายเบี่ยงอยู่นานแต่ที่สุด คุณกิตติ สิงหาปัดก็แนะนำให้ทำไป
ผมจึงเริ่มอยู่หน้าจอ มากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสำคัญมาตลอด ว่า อาชีพนักข่าว อย่าทิ้งสนามข่าว เพราะสนามข่าวคือตัวตนที่แท้จริงหากจะอยู่ในอาชีพนี้
ตลอด20กว่าปีผ่านมา ผมจึงยึดแนวทางนี้และความศักดิ์สิทธ์ของอาชีพนี้ คือ ไม่รับสินบน และไม่รับของ ขอของ ใช้เส้นสายหรืออะไร ที่จะเป็นประโยชน์ส่วนตน อันที่จะทำให้เกิดข่าวเกรงใจกันภายหลัง
ยิ่งผมทำผมก็ได้รับโอกาสมากขึ้น ทั้งจากพี่วสันต์ ภัยหลีกลี้ สมัยเป็นผอ.อสมท. จึงทำรายการเอง ชื่อห้องสืบสวนหมายเลข 9 ได้รับโอกาส จากคุณประวิทย์ มาลีนนท์ ทำรายการตรงจุดเกิดเหตุ และพี่สำราญ ฉัตรโท ให้มาเป็นโปรดิวส์เซอร์เรื่องเด่นเย็นนี้ และได้รับเป็นบ.ก.ข่าว 3 มิติ ให้กับพี่กิตติ ที่ย้ายจากช่อง 9 มาอยู่ช่อง 3
วันนี้ชั้นวางถ้วยรางวัลมีทุกสถาบันที่นักข่าวอาชีพมีอยู่ในบ้านผม มีบ้านหลังใหญ่ๆ
แต่ผมมาคิดว่า ชีวิตย่อมสูงสุดก็ลงต่ำ สำหรับคนที่อยู่ต่ำอยู่แล้วไม่มีอะไรเคยสูงสุด
ลูกสาวถามว่า ทำไมจะขายบ้านไปซื้อที่ ผมว่า อาชีพนักข่าว มีที่ทำกินอยู่ในอากาศ จับต้องไม่ได้ จะยกเป็นมรดกให้หนูกับน้องก็ไม่ได้ มันไม่มีตัวตน
สำหรับพ่อพอแล้ว จึงจะไปหาซื้อดินดี ปลูกต้นไม้ ไว้ให้ ลงปลูกเสียตอนนี้ 10-15 ปีหนูกับน้องเรียนจบมา ผลผลิตก็จะเริ่มออกมาให้เก็บเกี่ยวพอดี ไปเรียนรู้วิธีจัดการมาก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องลำบากแบบที่พ่อทำมา
ผมเล่ามาเพื่อขอให้กำลังใจสำหรับน้องๆ นักข่าว ที่อาจจะกำลังอยู่ในวิกฤติสื่อ ถ้ารักในเส้นทางนี้ ก็ต้องแสดงความขยันตั้งใจจริงให้นายจ้างเขาเห็นอุดมการณ์ เพราะอุดมการณ์กินได้จริงๆ
แต่สำหรับคนที่อาจจะเปลี่ยนเส้นทางผมคิดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระองค์ทรงชี้นำแนวทางไว้ให้อยู่แล้ว อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลงเลย เส้นทางใหม่อาจสวยงามกว่าที่เดิมๆ ก็เป็นได้
อย่าเสียใจกับการเปลี่ยนแปลง แต่ขอให้มีความมุ่งมั่นกับก้าวย่างใหม่ๆ บาดแผลทุกแผลย่อมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่จิตใจเรามากขึ้น
ผมก็พร้อมเสมอที่จะทำในสิ่งที่หัวใจของตัวเองคิดว่า ดีที่สุดสำหรับตัวเองและเพื่อนมนุษย์
ต้นทุนของแม่พันกว่าบาท มันต่อยอดได้มากมายมหาศาลแล้วครับ
(ขอกราบอภัยสำหรับผู้มีพระคุณที่ผมเอ่ยชื่อถึง แต่ทั้งนี้เป็นผู้มีส่วนทำให้ผมมีวันนี้ได้ จึงกล่าวเพื่อขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี่)
(คืนนี้ดูข่าว 3 มิติด้วยนะครับ เปิดใจสะใภ้เล่าต๋า แสนลี่ ครอบครัวค้ายาเสพติดจริงหรือไม่)
ที่มา https://www.facebook.com/joyjaturong/posts/1279368565416942


