วันขอบคุณพระเจ้าฉบับจีน
วันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day) ของสหรัฐจะตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 4 ของเดือน พ.ย.ของทุกปี
โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์
วันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day) ของสหรัฐจะตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 4 ของเดือน พ.ย.ของทุกปี ขณะที่ของแคนาดา ตรงกับวันจันทร์ที่ 2 ของเดือน ต.ค. และเนื่องจากวันนี้เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การรอดตายในช่วงตั้งถิ่นฐานในทวีปอเมริกาเหนือ จึงเป็นเทศกาลที่ฝรั่งแถบอื่นไม่ได้ฉลองกัน
ข้ามฝั่งโลกมาที่จีน มีผู้คนส่วนหนึ่งที่เฉลิมฉลองวันขอบคุณพระเจ้าตามคติที่ได้รับอิทธิพลจากสหรัฐ กลับมีชาวเน็ตส่วนหนึ่งกำหนดวันขอบคุณพระเจ้าขึ้นเองอีกวัน โดยให้วันที่ 25 พ.ย.เป็นวันขอบคุณพระเจ้าของชาวจีนแทน ในวันนี้ทวิตเตอร์ของหลายคนจะติด Hashtag คำว่า China Thanksgiving Day (&>0013;&>2269;&>4863;&>4681;&&3410;) พร้อมภาพ “ข้าวผัดไข่” ไม่ใช่ไก่งวง
ทำไมจึงใช้วันที่ 25? เรื่องมีอยู่ว่า วันที่ 25 พ.ย.เป็นวันตายของนายทหารในสงครามเกาหลีคนหนึ่งที่ชื่อเหมาอ้านอิง
เหมาอ้านอิงคือลูกชายคนโตของเหมาเจ๋อตง เหมาอ้านอิงถูกส่งไปรบแนวหน้าในสงครามเกาหลี และตายในค่ายทหารจากการทิ้งระเบิดของฝูงบินฝั่งเกาหลีใต้ในเช้าวันที่ 25 พ.ย. 1950
ชาวเน็ตจีนเล่ากันว่า เพราะเช้าวันนั้นเหมาอ้านอิงตื่นขึ้นมางัวเงีย เกิดอาการหิวข้าว จึงลุกขึ้นมาทำข้าวผัดไข่ ปรากฏว่าพอฝูงบินทิ้งระเบิดเห็นควันจากข้าวผัดไข่ลอยจากเต็นท์ จึงทิ้งระเบิดได้ตรงเป้าหมาย เหมาอ้านอิงตายคาที่
และเนื่องจากเหมาอ้านอิงเป็นลูกชายคนโตที่ดูมีอนาคตที่สุดของเหมาเจ๋อตง และมีท่าทางจะได้เป็นทายาททางการเมืองของเหมาเจ๋อตง การตายของเหมาอ้านอิงจึงทำให้ประเทศจีนรอดตายจากยุคสมัยของเหมาเจ๋อตงจูเนียร์ ประเทศจีนจึงรอดมาด้วย “ข้าวผัดไข่” จานนั้น
นับเป็นความกัดจิกที่เจ็บแสบของผู้คนที่รังเกียจผลงานและการกระทำในประวัติศาสตร์ของเหมาเจ๋อตง เล่นกันอย่างสนุกสนาน และก็เดาได้ไม่ยากว่าเรื่องเหมาอ้านอิงตื่นเช้ามาด้วยความหิว ก็คงเป็นเรื่องใส่ไข่ให้อร่อยสนุกปาก ไม่ต่างจากข้าวผัดแล้วการจิกกัดด้วยความรื่นเริงในความตายของทายาทของเหมาเจ๋อตง เป็นสิ่งที่น่าสนุก น่าสนับสนุน จริงหรือ?
เหมาอ้านอิง ผิดที่เป็นลูกเหมาเจ๋อตง ผิดที่มี DNA ของพ่อเขา ย่อมต้องสานต่อและทำผิดแบบพ่อเขานั่นแหละ จริงหรือ? เราไม่อาจรู้ได้ว่าถ้าเหมาอ้านอิงมีชีวิตอยู่ต่อมาจะเป็นผู้นำจีนหรือไม่ และจะเป็นคนเช่นไร เพราะเหมาอ้านอิงตายในสงครามเกาหลีไปแล้ว และตายไปตั้งแต่ยังหนุ่ม
แต่เราพอจะรู้ชีวิตของเขาตั้งแต่เด็ก เขามีแม่ชื่อหยางไคฮุ่ย ภรรยาคนแรกของเหมาเจ๋อตง เนื่องจากช่วงที่เหมาเจ๋อตงเริ่มเข้าร่วมงานกับพรรคคอมมิวนิสต์ เหมาเจ๋อตงต้องหลบหนีซ่อนตัว หยางไคฮุ่ยและเหมาอ้านอิงจึงไม่ได้อยู่กับเหมาเจ๋อตง มีช่วงหนึ่งที่เธอไม่เคยได้เจอเหมาเลยถึง 3 ปี
สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองไม่ลดระดับความรุนแรง ในที่สุด หยางไคฮุ่ยถูกนายทหารพรรคก๊กมินตั๋งจับกุมพร้อมเหมาอ้านอิง เธอถูกใช้เป็นเหยื่อล่อเหมาเจ๋อตง เหมาอ้านอิงถูกบังคับให้นั่งดูมารดาตัวเองถูกทรมานและในที่สุดก็ถูกยิงตายต่อหน้าลูกชายตัวน้อยของเธอ
จากนั้นเหมาอ้านอิงได้รับความช่วยเหลือ เขาถูกส่งไปศึกษาที่ปารีสและมอสโก เพื่อเลี่ยงภัยสงคราม แต่เมื่อกลับมาจีนได้สักพัก เหมาอ้านอิงก็อาสาไปรบในสงครามเกาหลี จนต้องเสียชีวิตเพราะฝูงบินทิ้งระเบิด
(เรื่องนี้ทำให้นึกถึงฉากหนึ่งในหนังกึ่งสารคดีเสียดสีการเมืองอเมริกันเรื่อง “Fahrenheit 9/11” ที่ผู้กำกับเดินไล่สัมภาษณ์ สส.ที่สนับสนุนสงครามในอิรักหน้ารัฐสภา เขาเดินเอาไมค์จ่อถามบรรดา สส.ว่า “ถ้านักการเมืองเห็นการรบกับอิรักคือสัญลักษณ์ของความรักชาติและมีประโยชน์มากนัก ลูกชายพวกท่าน (สส.) ได้อาสาไปรบในสงครามครั้งนี้หรือไม่?” ในกรณีนี้พ่อลูกเหมาคงตอบได้เต็มปากเต็มคำ ไม่เหมือน สส.อเมริกันที่เอาแต่เดินหนี)
ดูไปชีวิตเหมาอ้านอิงก็มีมุมที่ไม่ควรจะถูกเอามาลดรูปให้ดูง่ายว่ามีบทบาทได้เพียงทายาทของเหมาเจ๋อตง แล้วยังนำความตายของเขามาล้อเล่นสนุกสนาน โดยเฉพาะในความผิดที่เขาไม่ได้กระทำ เขาก็เป็นอีกคนที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกับใคร (แม้แต่พ่อ)
สถานการณ์คล้ายๆ กัน ดูได้จากสารคดีที่ชื่อ Hitler’s Children ซึ่งติดตามสัมภาษณ์ลูกหลานของสมาชิกคนสำคัญของพรรคนาซีเยอรมัน แต่ละคนล้วนต้องเผชิญกับความสับสนและกดดันในฐานะที่พวกเขาคือเลือดเนื้อเชื้อไขของอาชญากร
ทั้งๆ ที่ในยุคนาซีเรืองอำนาจ บางคนก็ยังเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ บางคนยังไม่เกิด แต่ทุกคนรู้ดีว่า พ่อแม่ปู่ย่าตายายของพวกเขาคือคนสั่งฆ่าชาวยิว หรือบางคนคือผู้บัญชาการค่ายกักกันที่บางวันได้สังหารยิวนับร้อยรายเองกับมือภายในวันเดียว
กรรมวิธีในการแก้ไขปมขัดแย้งภายในใจแต่ละคนล้วนแตกต่างกันไป บางคนปกป้องความผิดของสิ่งที่พ่อแม่ของตนทำตลอดไป ส่วนบางคนยอมรับว่าพ่อแม่ตัวเองนั้นเป็นอาชญากร และพยายามทำดีเพื่อแก้ไข บางคนถึงขั้นคิดทำหมันตัวเองเพื่อให้เชื้อสายอาชญากรหมดลงที่ตัวเขา ลูกหลานของอาชญากรเหล่านี้จำเป็นต้องรับผิดชอบความผิดของบรรพบุรุษของเขาหรือไม่ ต้องรับผิดชอบมากมายเพียงใด และความรู้สึกผิดจะติดตัวไปแค่ไหน เป็นความซับซ้อนทางจิตใจมนุษย์และสังคม
แต่ถ้ามัวแต่คิดว่าลูกหลานของอาชญากรเหล่านี้ต้องรับโทษเช่นเดียวกับอาชญากร หรือต้องถูกเหมารวมว่าพวกเขาก็จะมีพฤติกรรมแบบเดียวกับบรรพบุรุษของเขา แล้วสังคมจะก้าวเดินต่อไปได้อย่างไร
ที่สำคัญคือ แนวความคิดที่ว่าความประเสริฐ ความดีงาม ความด้อยค่า ทั้งหมดถ่ายทอดทางพันธุกรรมนี่แหละที่เป็นแนวคิดแบบพวกนาซี หากเราคิดแบบนี้ เราจะต่างกับนาซีที่ตรงไหน?
(เพื่อความไม่โลกสวย ยังพอเข้าใจได้ว่าการมองว่าพ่อลูกย่อมต้องเข้าข้างกันนั้นยังพอรับได้ เมื่อพิจารณาเรื่องผลประโยชน์ที่ได้เสียร่วมกันยังมีอยู่ แต่นั่นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีความเป็นไปได้หลากหลายมากมายที่พ่อแม่ลูกหรือญาติกัน ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องมีความคิดและพฤติกรรมเหมือนกันโดยสันดาน และในอีกทางหนึ่ง ถึงไม่ได้เป็นญาติกัน แต่เมื่อมีจุดยืนเรื่องผลประโยชน์ได้เสียตรงกัน ก็มีแนวโน้มจะปกป้องกันและกันโดยไม่เกี่ยวกับ DNA)
ถ้าเอาความเชื่อตามแนวศาสนาพุทธยังต้องยึดพุทธพจน์ว่า แต่ละคนมีกรรมเป็นของตัว มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย และกรรมนี่แหละที่จะจำแนกดีจำแนกเลวได้ มิใช่ DNA
เหมาเจ๋อตงก็เหมาเจ๋อตง เหมาอ้านอิงก็เหมาอ้านอิง เรื่องเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้าของจีน จึงเล่นกันกัดจิกใส่ไข่เอามัน และเล่นกันด้วยรากความคิดที่ไม่ต่างจากพวกนาซี ซึ่งนี่แหละคือ DNA ข้ามสายพันธุ์ที่อันตรายอย่างแท้จริง


