ฤดูกาลของชีวิต
ตุลาคมคือช่วงเวลาที่เรียกกันว่าปลายฝนต้นหนาว แปลว่าเรากำลังก้าวสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านของฤดูกาลอีกครั้งหนึ่งในรอบปี
โดย...ปูปรุง ภาพ... รอยเตอร์ส
ตุลาคมคือช่วงเวลาที่เรียกกันว่าปลายฝนต้นหนาว แปลว่าเรากำลังก้าวสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านของฤดูกาลอีกครั้งหนึ่งในรอบปี ฝนกำลังจะค่อยๆ ซา ขณะที่ลมหนาวทางตอนบนของประเทศกำลังเดินทางมาถึงในไม่ช้า สีสันของทุกชีวิตกำลังจะเปลี่ยนไป
คำว่าชีวิตในที่นี้ ไม่ได้มีพื้นที่แค่ตัวเราเท่านั้น แต่มีพื้นที่ที่กว้างกว่าคนคนหนึ่งหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งครอบคลุมไปถึงแผ่นดิน ผืนน้ำ เมฆ ท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ต้นไม้ สัตว์น้อยใหญ่และเพื่อนมนุษย์ที่ต่างมีความสัมพันธ์กันทั้งในอดีตและปัจจุบัน ชีวิตกับฤดูกาลจึงเป็นสิ่งที่แยกขาดออกจากกันไม่ได้และบ่อยครั้งมีผลต่อความรู้สึกนึกคิดในใจคนเรา ฝนปลายฤดูแบบนี้จึงทำให้บางคนเสียดายเมื่อรู้ว่ามันกำลังจะจากไป ขณะที่บางคนดีใจ เพราะไม่ชอบที่ฝนทำให้รถติด เดินทางลำบากและน้ำท่วม
ธรรมชาติสร้างฤดูกาลให้เกิดขึ้นและแต่ละฤดูกาลก็นำความหลากหลายมาให้ สิ่งนี้เป็นความงดงามอย่างหนึ่งที่ทุกชีวิตสามารถสัมผัสได้ ฤดูร้อนคือช่วงเวลาที่ดอกไม้นานาชนิดเบ่งบาน ท้องฟ้าสดใสน้ำทะเลสีสวย ฤดูฝนมาพร้อมความชุ่มฉ่ำ ต้นไม้แตกกิ่งก้านผลิยอดอ่อนสดชื่น และเมื่อฤดูหนาวมาเยือน ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสี ท้องฟ้าไร้เมฆครึ้ม ดวงดาวส่องประกาย เช่นนี้แล้วการที่เราแต่ละคนจะมีฤดูกาลที่ชอบหรือไม่ชอบจึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะแต่ละฤดูก็ล้วนแตกต่าง แต่หากมองอีกมุมแต่ละฤดูกาลเหล่านั้นก็มีความงดงามหรือเสน่ห์คนละแบบเช่นกัน และถ้าเรามัวอยู่กับความชอบหรือไม่ชอบของตัวเองจนจิตใจมีแต่ความกังวลเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ มากจนเกินไป เราก็อาจพลาดที่จะชื่นชมความงามของธรรมชาติเหล่านั้นอย่างน่าเสียดาย
มีคำพูดที่น่าสนใจประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า ผู้คนส่วนใหญ่ในยุคนี้กำลังอยู่กับความสุขเล็กๆ ที่ถูกมองข้ามไปเสมอ ผลก็คือเราเลยมีความเชี่ยวชาญโดยไม่รู้ตัวในการมองเห็นแต่ความทุกข์หรือสิ่งแย่ๆ ในชีวิตตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ก็เพราะเรามักใช้ความชอบและความไม่ชอบเป็นตัวกำหนดสุขและทุกข์ในชีวิตเรา พูดให้ชัดก็คือใช้อารมณ์ในการนำพาชีวิตตัวเองมากกว่าการเปิดหัวใจให้กว้าง แล้วยอมให้ธรรมชาติช่วยกล่อมเกลาจิตใจ เพื่อที่จะสามารถมองเห็นสัจธรรมและความจริงต่างๆ ของโลกใบนี้
หากพิจารณาดีๆ คุณจะพบความจริงว่า ความสุขนั้นมีอยู่ 2 แบบคือ สุขเพราะได้ดังใจ กับสุขเพราะเข้าใจแบบแรกต้องไขว่คว้า ร้อนรน และยังขึ้นอยู่กับองค์ประกอบภายนอกอีกมากมาย
แต่แบบหลังแค่ลดความร้อนรนที่จะไขว่คว้าและมองทุกสิ่งแบบมีที่มาและมีเหตุผล โดยใช้ใจที่หนักแน่นของตนเป็นที่ตั้ง เราทุกคนนั้นล้วนชอบที่จะมีความสุขทั้งสองแบบ แต่ถ้าทบทวนและแยกแยะความแตกต่างนี้บ่อยๆ ก็จะพบเองว่าสุขเพราะเข้าใจที่จืดๆ ไม่หวือหวานี้ต่างหาก ที่เป็นสิ่งยั่งยืนและประณีต และบางทีสมดุลของชีวิตแบบปุถุชนคนธรรมดา ก็คงหมายถึงสมดุลของการแสวงหาความสุขทั้งสองแบบนี้ด้วยใจที่มีสติในการใคร่ครวญอย่างแท้จริง
ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนแปรเปลี่ยนหมุนเวียนคล้ายฤดูกาล รวมถึงสุข-ทุกข์ ร้อน-หนาวในชีวิตคน ฝนจากไปเพื่อต้อนรับฤดูหนาว ลมหนาวจากไปเพื่อต้อนรับฤดูร้อนและฝน หมุนวนเช่นนี้ทุกรอบปี แม้จะชอบหรือไม่ชอบฤดูฝนแค่ไหน เราก็ไม่สามารถฉุดรั้งให้อยู่กับเราได้ การขัดหรือฝืนธรรมชาติจึงเปรียบเหมือนการกระทำที่เหนื่อยเปล่า แต่การเตรียมพร้อมรับความเปลี่ยนแปลง และอยู่กับมันอย่างเข้าใจต่างหาก ที่จะทำให้เราได้พบความสุขสงบมากกว่าไม่ว่าจะมีกี่สิบฤดูฝนก็ตาม


