posttoday

8 ทศวรรษ ‘แผลเก่า’

18 กันยายน 2559

‘คลองปลายน้ำ สุดฟากข้างทางซ้ายของทุ่งบางกะปิ เป็นคลองเล็กแคบแต่น้ำไหลลึกมีนํ้าเดินตลอดปี

โดย...พริบพันดาว

‘คลองปลายน้ำ สุดฟากข้างทางซ้ายของทุ่งบางกะปิ เป็นคลองเล็กแคบแต่น้ำไหลลึกมีนํ้าเดินตลอดปี สองฝั่งราบรื่นไปด้วยเงาต้นไม้ใหญ่ ซุ้มเซิงของเถาวัลย์และพงอ้อพงแขมมีอยู่บ้างห่างๆ เมื่อพ้นไปเป็นทุ่งหญ้าเวิ้ง บางแห่งเป็นนามีข้าวชูรวงเหลือง สำแดงว่าหน้าเกี่ยวกำลังจะมาถึง ตะวันคล้อยหัวเพิ่งจะบ่าย แต่แดดจ้าความร้อนยังอบอ้าวคุกคามอยู่เหนือท้องทุ่ง แม้จะมีลมพัดบ้างเป็นครั้งคราวก็คงร้อนระอุเพราะเป็นลมหอบแดด

‘เจ้าหนุ่มร่างงามลํ่าสันผิวคล้ำหน้าตาซื่อคมคาย นั่งร้องเพลงเอื่อยๆ มาบนหลังควายอย่างไม่กังวลถึงความร้อนที่เผาอยู่บนหัว นางผู้หญิงนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เอียงคอฟังอยู่บนหลังควายที่เดินคู่กันมาอีกตัวหนึ่ง ตัดทุ่งโฉมหน้าเข้าสู่ฟากคลอง เพราะหน้าเกี่ยวข้าวกำลังจะมาถึง เพราะข้าวกล้าปลาดีและมาด้วยกันลำพังสองต่อสองกับคนรัก จึงทำให้เจ้าขวัญ หนุ่มบ้านทุ่งเพลิดเพลินอิ่มใจนักหนา เตรียมซักซ้อมเพลงกลอนไว้เมื่อหน้าเกี่ยว แต่แล้วเจ้าขวัญก็ด้นกลอนสดมาเกี้ยวเอาเจ้าเรียมที่มาด้วยกันดื้อๆ…’

ข้างต้นเป็นบทบรรยายเปิดเรื่องในนวนิยายเรื่อง ‘แผลเก่า’ ของ ไม้ เมืองเดิม แผลเก่า เป็นผลงานประพันธ์เรื่องแรกของ ไม้ เมืองเดิม ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2479 เท่ากับนวนิยายเรื่องนี้มีอายุ 80 ปีเข้าไปแล้ว

ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้คิดถึงนวนิยายเก่าแก่เรื่องนี้ขึ้นมา น่าจะเพราะได้อ่านจดหมายข่าวหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) เล่มล่าสุด หน้าปก ‘สิบปีที่จากไปของ เชิด ทรงศรี’ ทำให้คิดถึงภาพยนตร์อมตะคลาสสิกนิรันดร์กาลในปี 2520 ของเขา ซึ่งทำให้โฉมหน้าของวงการภาพยนตร์ไทยเปลี่ยนแปลงไปและได้รับการยอมรับจากนานาชาติ

‘แผลเก่า’ ผลงานกำกับการแสดงของ เชิด ทรงศรี เป็นภาพยนตร์ฟิล์ม 70 มม.สีอีสต์แมน เสียงพากย์ในฟิล์ม สร้างโดย เชิดไชยภาพยนตร์ จัดจำหน่ายโดย สหมงคลฟิล์ม นำแสดงโดย สรพงษ์ ชาตรี รับบท ขวัญ นันทนา เงากระจ่าง รับบท “เรียม” ร่วมด้วย ส. อาสนจินดา, ชลิต เฟื่องอารมย์, เศรษฐา ศิระฉายา และศรินทิพย์ ศิริวรรณ ฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 2520 ใช้คำโฆษณาหนังว่า “เราจักสำแดงความเป็นไทยต่อโลก”

ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ ไอ้ขวัญกับอีเรียม กลายเป็นคู่ขวัญดาวค้างฟ้าในใจคอภาพยนตร์ไทยจนถึงทุกวันนี้ สร้างความยอดนิยมจนโรงแตกทั่วประเทศที่หนังเรื่องนี้ลงโรงเข้าฉาย ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของภาพยนตร์ไทย และสามารถทำรายได้สูงสุดในไทย ได้รับรางวัลพระสุรัสวดี สาขาบทประพันธ์ยอดเยี่ยม รางวัลเครื่องแต่งกาย และแต่งหน้ายอดเยี่ยมจากการประกวดในประเทศ รวมทั้งโล่เกียรติยศภาพยนตร์ที่เชิดชูเอกลักษณ์ไทยยอดเยี่ยมจากพล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น

ปี 2524 ‘แผลเก่า’ ได้รับรางวัลกรังด์ปรีซ์จากการประกวดภาพยนตร์ในงาน Festival des 3 Continents เมืองน็องต์ ประเทศฝรั่งเศส อีก 23 ปีต่อมา ในปี 2541 ได้รับเลือกจากหอภาพยนตร์และโทรทัศน์แห่งชาติของประเทศอังกฤษ (National Film and Television Archive) ซึ่งร่วมกับนิตยสาร Sight and Sound ของสถาบันภาพยนตร์อังกฤษ (British Film Institute) และผู้กำกับการแสดงภาพยนตร์และนักวิจารณ์ภาพยนตร์จากทั่วโลก ให้เป็น 1 ใน 360 ภาพยนตร์คลาสสิกของโลก

8 ทศวรรษ ‘แผลเก่า’

 

ปี 2548 หอภาพยนตร์แห่งชาติ จัดตั้งโครงการ 100 ภาพยนตร์ไทยที่คนไทยควรดู ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 100 ภาพยนตร์ไทยที่คนไทยควรดู และปี 2554 ได้รับคัดเลือกให้เป็นภาพยนตร์ไทย 1 ในจำนวน 25 เรื่องที่ได้ประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์ของชาติ โดยหอภาพยนตร์แห่งชาติ

นั่นคือความเป็นอมตะของภาพยนตร์ ‘แผลเก่า’ เวอร์ชั่น เชิด ทรงศรี ในปี 2520 ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยมีการนำมาทำภาพยนตร์แล้ว 2 ครั้ง ในปี 2483 และ 2489 มาแล้วก็ตาม ทั้งแบบภาพยนตร์ฟิล์ม 16 มม. และ 35 มม. ตามลำดับ

กลับมาที่บทประพันธ์หรือนวนิยาย ‘แผลเก่า’ ของ ไม้ เมืองเดิม ความดีเด่นของนวนิยายเรื่องนี้ก็ถือเป็นหมุดหมายหนึ่งของวงการวรรณกรรมไทย หยิบหนังสือ ‘ทางสายใหม่แห่งวรรณกรรมไทย : ทัศนวิจารณ์ต่อนวนิยายยุคแรก’ ที่มีสุวรรณา เกรียงไกรเพ็ชร นักวิชาการด้านวรรณกรรมไทย ซึ่งเป็นอดีตนายกสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นบรรณาธิการ

พลิกเปิดไปที่บทความ ‘นวนิยายกับการสร้างตัวตนในสังคมสมัยใหม่ : กรณีศึกษาจาก “ขุนศึก” ของ ไม้ เมืองเดิม ก็มีการกล่าวถึงวิธีการเขียนของ ไม้ เมืองเดิม และโยงถึงนวนิยายแผลเก่าอย่างลงลึกว่า ในบรรดานักเขียนที่อยู่ในยุคบุกเบิกของนวนิยายไทย ดูเหมือนว่า ไม้ เมืองเดิม จะเป็นคนที่แวดวงนักวิชาการและนักวิจารณ์ให้ความสนใจศึกษาน้อยที่สุด

สาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะผลงานของ ไม้ เมืองเดิม มีลักษณะเป็นงานบันเทิงคดี ซึ่งเมื่อมองอย่างผิวเผินแล้วอาจจะไม่เห็นแง่มุมทางความคิดที่แหลมคมเด่นชัด และเป็นแค่เรื่องแต่งเกี่ยวกับความรักในแนวทางของโศกนาฏกรรมที่มีกลิ่นอายพื้นบ้านเท่านั้น

 แทบทุกครั้งที่มีการเอ่ยถึง ไม้ เมืองเดิม คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงแต่ความโดดเด่นทางด้านภาษาและชั้นเชิงวรรณศิลป์ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในงานเขียนของเขา ส่วนทางด้านความคิดซึ่งซ่อนอยู่ในเนื้อหานั้นกลับถูกละเลยและมองข้ามไป

ไม้ เมืองเดิม มีดีอะไร ทำไมผลงานของเขาจึงยืนยงอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะนอกเหนือจากคุณค่าทางวรรณศิลป์แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่คอยค้ำชูให้ผลงานของ ไม้ เมืองเดิม เป็นอมตะก็คือแง่มุมทางความคิดของเขานั่นเอง งานเขียนทั้งหมดของ ไม้ เมืองเดิม สามารถจัดแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ เรื่องแต่งแนวพื้นบ้านหรือชีวิตชนบท เช่น “แผลเก่า” “แสนแสบ” และ “ชายสามโบสถ์” หรือมีบางเรื่องที่ใช้ฉากทะเลบ้าง เช่น “สินในน้ำ” “โป๊ะล่ม” และ “ลมตะเภา” กับอีกกลุ่มหนึ่งเป็นเรื่องแต่งแนวอิงประวัติศาสตร์ซึ่งนำเค้าโครงเรื่องมาจากพงศาวดาร เช่น “ขุนศึก” “ทหารเอกพระบัณฑูร” และ “บางระจัน” เป็นต้น

ทั้งสองแนวนี้ต่างมีลักษณะร่วมกันอยู่อย่างหนึ่ง คือแสดงให้เห็นถึงระบบคุณค่าที่มีอยู่ในสังคมและวัฒนธรรมไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่คอยโอบอุ้มให้สมาชิกในสังคมได้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นปกติสุข และเป็นอาวุธที่ใช้รับมือกับการรุกรานทางวัฒนธรรมจากภายนอกด้วย

ในบรรดาผลงานทั้งหมดของ ไม้ เมืองเดิม นวนิยายสองเรื่องที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขามากที่สุด คือ ‘แผลเก่า’ ซึ่งเป็นนวนิยายในแนวพื้นบ้าน โดยในบรรดานักเขียนที่อยู่ในยุคบุกเบิกของนวนิยายไทย งานเขียนของ ไม้ เมืองเดิม แตกต่างออกไปจากคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัดอยู่ 2 ประการ คือ แนวเรื่อง กับสำนวนภาษา

ไม้ เมืองเดิม เป็นนักเขียนที่โดดเด่นขึ้นมาด้วยการฉีกตัวเองออกจากลักษณะทั้งสองประการนั้น กล่าวคือ เขานำเสนอแนวเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในสังคมชนบทไทยเป็นหลัก

เพราะฉะนั้น 8 ทศวรรษที่ผ่านมา ‘แผลเก่า’ จึงยังอยู่คงทนในใจคนไทย แต่จะยังอยู่ในใจของคนรุ่นใหม่อีกด้วย เพราะท้องทุ่งบ้านนอกและนวนิยายชิงรักหักสวาทหัวใจนักเลง กลายเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าเหนือยุคสมัยที่ไม่มีอีกแล้วในสังคมไทย นอกจากในนวนิยายของ ไม้ เมืองเดิม 

‘แผลเก่า’ จึงเก่าแต่ไม่ถูกเก็บไว้ในกรุที่ไม่มีใครเห็น

ข่าวล่าสุด

จากดราม่า ‘น้องหมากินข้าวร่วมโต๊ะในร้าน’ สู่การส่องกฎหมาย Pet Friendly ของ ‘เกาหลีใต้’