สมดุลของโทษทัณฑ์
ปลายยุคราชวงศ์ฉิน กลุ่มชาวบ้านกลุ่มหนึ่งถูกผู้คุมจากส่วนกลาง 2 คน เกณฑ์ไปใช้แรงงานที่ชายแดน ในกลุ่มชาวบ้านมีชายหนุ่มยากไร้สองคนเป็นผู้นำ ชายสองคนนี้ชื่อเฉินเซิ่งและอู๋กว่าง
โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์
1.ปลายยุคราชวงศ์ฉิน กลุ่มชาวบ้านกลุ่มหนึ่งถูกผู้คุมจากส่วนกลาง 2 คน เกณฑ์ไปใช้แรงงานที่ชายแดน ในกลุ่มชาวบ้านมีชายหนุ่มยากไร้สองคนเป็นผู้นำ ชายสองคนนี้ชื่อเฉินเซิ่งและอู๋กว่าง
ระหว่างทางที่พวกเขาเดินทางมีฝนตกหนัก ทำให้พวกเขาติดชะงัก ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ ชาวบ้านทุกคนมีท่าทีกังวล ตามกฎของราชวงศ์ฉิน หากไม่สามารถเดินทางไปได้ ตามกำหนดเวลา พวกเขาจะถูกประหารชีวิต
ตลอดเส้นทางนายทหารผู้คุม 2 คนมีแต่ท่าทีโหดร้ายบ้าอำนาจ เป็นที่รังเกียจของชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์มาเป็นทุนเดิม เฉินเซิ่งและอู๋กว่างจึงฉวยโอกาสฆ่าผู้คุมทิ้ง แล้วประกาศกับทุกคนในหมู่บ้านว่า ฝนตกหนักแบบนี้อย่างไรก็ไม่มีทางไปถึงทันกำหนด แม้ไปถึงก็ต้องตายด้วยโทษประหาร หรือถ้าไม่โดนประหาร พวกเราก็ต้องมีโทษติดตัวถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานหนักที่ชายแดน ซึ่งมีโอกาสตายไม่แพ้กัน สู้เลือกทางชีวิตของตัวเอง สร้างภารกิจใหญ่ ก่อกบฏเสียดีกว่า
ราชวงศ์ฉินขึ้นชื่อเรื่องกฎหมายโหดร้ายโทษทัณฑ์หนักหน่วง ไม่มีใครไม่รู้ทุกคนจึงเฮโลเข้าร่วมก่อกบฏกับเฉินเซิ่งและอู๋กว่าง
กบฏชาวนากลุ่มแรกของประวัติศาสตร์จีนจึงถือกำเนิดขึ้น…
2.ปลายยุคราชวงศ์ฉินอีกเช่นกัน หลิวปัง ซึ่งเป็นกำนันอยู่ในอำเภอเพ่ยเสี้ยน ถูกส่วนกลางสั่งให้เกณฑ์ชาวบ้านไปซ่อมกำแพงเมืองจีน การเดินทางติดขัด มีแววว่าจะล่าช้ากว่ากำหนดเหมือนกลุ่มเฉินเซิ่ง
อู๋กว่างแน่นอนว่าโทษที่รออยู่คือประหารไม่ต่างกัน
หลิวปังคิดต่างกันนิดเดียว เขาตัดสินใจปล่อยชาวบ้านที่เกณฑ์มา ตนเองก็หนีเข้าป่า ไปรวบรวมกำลังกลับมายึดอำเภอเพ่ยเสี้ยน ตั้งตัวเป็นใหญ่ ต่อต้านอำนาจรัฐ ราชวงศ์ฉินซึ่งมีแต่จะเสียศูนย์ลงเรื่อยๆ
ภายหลังหลิวปังคนนี้แหละที่กลายเป็นฮ่องเต้ราชวงศ์ฮั่น ราชวงศ์ถัดมา
ตัวอย่างทั้งสองที่ยกขึ้นมาไม่ ใช่เพื่อบรรยายวีรกรรมอันยิ่งใหญ่หรือการล่มสลายของใคร แต่เป็นไปเพื่อให้เห็นบทบาทของ “โทษทัณฑ์”
ทั้งสองเหตุการณ์เกิดในยุคราชวงศ์ฉิน ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการใช้กฎหมาย แคว้นฉินประสบความสำเร็จในการใช้กฎหมายเข้มงวด และพิสูจน์ได้ว่านี่คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญทำให้ฉินกลายเป็นแคว้นที่รวม
แผ่นดินจีนให้เป็นหนึ่ง
ในเงื่อนไขของแคว้นฉินยุคนั้น กฎหมายทำให้บ้านเมืองมีความสงบ มีประสิทธิภาพในการระดมทรัพยากรคน อาหาร และอาวุธ เพื่อปกป้องตนเองในระยะแรกๆ และทำสงครามกับแคว้นอื่นเพื่อ
ช่วงชิงความเป็นใหญ่ในระยะสุกงอม
แคว้นฉินเริ่มต้นสร้างกฎหมายเข้มแข็งเข้มงวดไปด้วยดี กฎบังคับใช้จริงจัง และบังคับใช้ทุกชนชั้นอย่างมีประสิทธิภาพ
ราชวงศ์ฉินเห็นกฎหมายเป็นอุปกรณ์เพียงหนึ่งเดียวที่ชักใยสังคม ประเพณีและธรรมเนียมอันดีงาม หรือการศึกษาสูงส่ง ล้วนไร้สาระ มีแต่กฎกติกา ผลประโยชน์และโทษทัณฑ์เท่านั้นที่เห็นผล
กฎหมายไม่เข้มงวด ประชาชนไม่เกรงกลัว สังคมย่อมวุ่นวาย โทษทัณฑ์ในยุคนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะหนักหน่วง ชัดเจน เห็นกันจะจะ เพื่อสร้างความหวาดกลัว ทุกอย่างจะได้อยู่ในความควบคุมอย่างเด็ดขาด
แต่เพราะแค่นำชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์ไปไม่ทันระยะเวลาตามที่กำหนด ต้องโดนโทษประหาร ไม่ต้องเป็นเฉินเซิ่ง อู๋กว่าง หลิวปัง ก็ย่อมประเมินผลได้ ผลเสียเองได้ว่า ไม่มาดีกว่ามาช้า หนีดีกว่าตาย
ในจุดนี้โทษแรงจึงไม่ใช่ยาวิเศษเสมอไป แต่กลับทำให้เกิดสิ่งตรงข้าม
สิ่งตรงข้ามที่เกิดขึ้นง่ายๆ อย่างแรกคือ คนทำผิดจำเป็นต้องทุ่มทุนทุกอย่างเพื่อให้พ้นโทษนั้น ไม่เว้นแม้แต่จะยอมทำความผิดที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นหากสามารถเพิ่มโอกาสหลบเลี่ยงบทลงโทษนั้นได้
จิตใจชั่งตัววัดแบบนี้มีตัวอย่างอยู่ในชีวิตประจำวันเช่นกัน เช่น พนักงานออฟฟิศที่เผลอถ่ายเอกสารลงกระดาษใหม่ แทนที่จะถ่ายลงกระดาษรีไซเคิลตามที่นายสั่ง มักตัดสินใจทิ้งเอกสารที่ถ่ายลงกระดาษใหม่ไป แล้วถ่ายด้วยกระดาษรีไซเคิลใหม่ทั้งหมด เพราะกลัวความผิด
นอกจากนั้น สังคมอาจจะสร้างกลไกปฏิเสธกฎนั้นโดยพร้อมเพรียง เช่น เมื่อพลิกบันทึกประวัติศาสตร์ในช่วงนั้น พ่อตาของหลิวปัง อาของเซี่ยงอวี่ (คู่แข่งหลิวปัง) และอีกหลายคนซึ่งต่อมาล้วนก้าวขึ้นมาเป็นบุคคลสำคัญ ก็ต่างมีชีวประวัติทำผิดหนักแล้วไม่ได้ รับโทษเพราะสามารถเจรจาเกี้ยเซี้ยด้วยเงินตรากับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองสมัยนั้นได้
ซึ่งนั่นอาจเกิดจากสถานการณ์ การบังคับใช้กฎหมายเปลี่ยนไป เมื่อรัฐไม่สามารถควบคุมจริงจังกับการบังคับใช้ แล้วคงไว้แต่การข่มขู่ชาวบ้านด้วยกฎหมายรุนแรงเพียงอย่างเดียว
หลายคนจึงบอกว่าต้องให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้มงวดขึ้น สุจริตขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ออปชั่นเสริมที่ต้องมากับโทษทัณฑ์ที่รุนแรงที่เสนอมาข้างต้น ล้วนถูกต้องทั้งสิ้น อันที่จริงถูกต้องกว่าความคิดที่ว่าโทษรุนแรงจะทำให้คนไม่กล้าทำผิดด้วยซ้ำ
แต่เพราะทุกข้อข้างต้นย่อมต้องมีการลงทุน เจ้าหน้าที่ที่เข้มงวดขึ้น สุจริตขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ต้องหล่อเลี้ยงด้วยทรัพยากรของสังคมที่มากขึ้นตามไปด้วย เช่น ถ้าผู้คุมการเกณฑ์คนจากอำเภอต่างๆ มีจำนวนมากพอ และมาพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์มากมาย เฉินเซิ่ง อู๋กว่าง หลิวปัง ก็ไม่ได้เกิด
แต่ในบรรดาชาวบ้านที่ต้องเกณฑ์มานับร้อยนับพันกลุ่ม จะลงทุนเอาทหารเอาอาวุธไปคุมได้ขนาดไหน
เมื่อโทษรุนแรงก็ยิ่งมีความพยายามดิ้นรนหนีความผิดมาก แล้วก็ต้องใช้ทรัพยากรเข้ามาจัดการมากขึ้น
แต่ถึงสังคมที่มีทรัพยากรเจียดมาใช้บังคับกฎได้มากพอ ก็ไม่ควรมาหมดไปกับความดิ้นรนพ้นผิดที่มากเกินเหตุมิใช่หรือ
ทั้งหมดจึงจบที่สมดุล โทษทัณฑ์มีทั้งด้านความรุนแรงและความรวดเร็วแม่นยำ เน้นรุนแรงแต่ไม่รวดเร็วแม่นยำ ก็แทบไม่ต่างอะไรกับโทษทัณฑ์ไม่รุนแรง แถมเกิด Side Effect
ความสะใจง่ายๆ ที่คิดว่าเพิ่มโทษรุนแรงขึ้นแล้วทุกอย่างจะดี ขึ้นจึงต้องการการชั่งใจว่า เรายังมีช่องว่างเรื่องการจัดการลงโทษอย่างรวดเร็วและแม่นยำพอรึยัง เรารับกับ Side Effect ได้หรือไม่ และเรามีทรัพยากรที่จะบังคับใช้กฎรุนแรงมากพอหรือเปล่า


