จาก‘คนสื่อ’อัพเลเวล สู่‘นักสร้างคอนเทนต์’
ข่าวคราวการพาเหรดปิดตัวของนิตยสารหัวไทยและหัวนอกบ้านเราในช่วงสองปีที่ผ่านมา
โดย...พุสดี สิริวัชระเมตตา ภาพ อีพีเอ/เอพี
ข่าวคราวการพาเหรดปิดตัวของนิตยสารหัวไทยและหัวนอกบ้านเราในช่วงสองปีที่ผ่านมา บวกกับรายงานตัวเลขเม็ดเงินโฆษณาในสื่อประเภทต่างๆ ในธุรกิจสิ่งพิมพ์ของ บริษัท เดอะนีลเส็นคอมปะนี (ประเทศไทย) พบว่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปี 2558 เม็ดเงินโฆษณาในหนังสือพิมพ์ลดลง 6.45% ส่วนนิตยสารลดลง 14.28% สวนทางกับสื่ออินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้น 11.37% ยิ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อที่ว่า “สื่อสิ่งพิมพ์กำลังจะตาย”
ที่ผ่านมา เจ้าของธุรกิจสื่อทั้งหลายพยายามปรับตัวเพื่อรับภาวะขาลงของธุรกิจสิ่งพิมพ์ ด้วยการหันไปสู่สมรภูมิรบใหม่อย่างอินเทอร์เน็ต ลดต้นทุนภายในด้วยการปรับลดขนาดกองบรรณาธิการ หรือในบางบริษัทที่มีนิตยสารในเครือหลายเล่มต้องจำยอมตัดบางส่วนออก ท่ามกลางพฤติกรรมการเสพสื่อของผู้บริโภคที่หันมาหาสื่อออนไลน์ ซึ่งเข้าถึงง่ายด้วยปลายนิ้ว เสิร์ฟข่าวร้อนทันเหตุการณ์ ทำให้ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้ก่อให้เกิดคนกลุ่มใหม่ในวงการสื่อ ไม่ว่าจะเป็นเหล่านักข่าวพลเมืองที่เปลี่ยนจากคนธรรมดามาสวมบทสื่อมวลชน บล็อกเกอร์ (กลุ่มที่มีความสนใจเฉพาะด้านและเลือกนำเสนอข้อมูลที่ตัวเองถนัดจนมีผู้ติดตามบนโลกออนไลน์) สุดท้ายคือ คนในวงการสื่อสื่งพิมพ์และอดีตคนในวงการที่หันหลังให้แท่นพิมพ์ กลายร่างไปสวมบทสื่อออนไลน์สายพันธุ์ใหม่ที่มาพร้อมทักษะแบบมืออาชีพ
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เกิดคำถามใหญ่ว่า แท้จริงแล้วสิ่งพิมพ์แค่อ่อนแรงหรือกำลังจะตาย แล้วโลกออนไลน์ที่ใครๆ ก็ถาโถมเข้าใส่ จะเป็นคำตอบสุดท้ายของคนยุคนี้จริงหรือ?
สื่อออนไลน์ในยุคฝุ่นตลบ
สุวิมล เดชอาคม กรรมการบริหาร บริษัท อาซิแอม เบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์ พีอาร์เอเยนซีชั้นนำของเมืองไทย ที่ดูแลแบรนด์สินค้าครอบคลุมทั้งสินค้าอุปโภค-บริโภค สินค้าไอที เครือข่ายผู้ให้บริการโทรคมนาคม สายการบิน และแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ เห็นว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคนี้ไม่ได้เปลี่ยนไป เพียงแต่ช่องทางการเข้าถึงผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง ทำให้แบรนด์สินค้าต่างๆ ต้องปรับตัว ยกตัวอย่างตื่นเช้ามาผู้บริโภคยังเสพข่าวสารเหมือนเดิม เพียงแต่เปลี่ยนจากการหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่าน กลายเป็นหยิบสมาร์ทโฟนมาจิ้มเลือกดูข้อมูลข่าวสารที่สนใจ
“ธรรมชาติของแบรนด์ คือ เมื่อผู้บริโภคอยู่ตรงไหน แบรนด์ก็จะติดตามไป จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เม็ดเงินโฆษณาที่เป็นท่อน้ำเลี้ยงหลักของสื่อสิ่งพิมพ์จะถูกถ่ายเทไปยังสื่อออนไลน์มากขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าทั้งแบรนด์เอง เอเยนซีพีอาร์ และคนที่อยู่เบื้องหลังสื่อออนไลน์ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ยังไม่มีใครรู้สูตรสำเร็จในการรับมือกับสื่อประเภทนี้ เพราะแม้จะเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ วัดผลได้เหมือนสื่อแบบเก่า แต่ผลตอบรับในแง่ยอดซื้อที่กลับมายังแบรนด์ก็ยังไม่สามารถวัดผลได้อยู่ดี”
ถามว่า สิ่งพิมพ์ที่ใครว่ากำลังจะตาย จะหายไปจากโลกนี้แบบปัจจุบันทันด่วนมั้ย คงไม่ใช่ แต่อาจจะเหลือเฉพาะที่เป็นหัวกะทิหรือเจ้ายุทธจักรจริงๆ แน่นอนว่าเมื่อเทรนด์โลกเปลี่ยน ธุรกิจสิ่งพิมพ์ก็ต้องปรับตัวจากสนามในกระดาษเข้ามาสู่สนามออนไลน์มากขึ้น หลายสำนักต้องปัดฝุ่นเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก หรืออินสตาแกรมเพื่อเข้าถึงคนอ่านให้มากขึ้น
“คนในสังคมเสพข่าวจากสื่อออนไลน์ก็จริง แต่เมื่อไหร่ที่เขาต้องการข้อเท็จจริงหรือความน่าเชื่อถือก็ยังต้องอาศัยสื่อกระแสหลัก สำหรับกลุ่มบล็อกเกอร์ในไทยเอง ส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มมือสมัครเล่นที่เป็นมืออาชีพเขียนเล่าเรื่องดี จับประเด็นได้น่าสนใจ มีความน่าเชื่อถือจริงๆ ยังมีไม่ถึง 15% เพราะฉะนั้น นี่จึงเป็นข้อได้เปรียบของสื่อกระแสหลักที่ขยับมาสู่ออนไลน์ หรือคนในวงการสื่อที่ผันตัวมาสร้างช่องทางของตัวเองในการผลิตคอนเทนต์ออนไลน์ เพราะอย่างน้อยคนกลุ่มนี้มีทักษะ มีความเป็นอาชีพ”
อย่างไรก็ตาม สุวิมล ย้ำว่า ไม่ว่ารูปแบบการเข้าถึงผู้บริโภคจะเปลี่ยนไปอย่างไร สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญ คือ การสร้างคอนเทนต์ที่น่าเชื่อถือ ตรงใจผู้บริโภค เพราะหากมีคอนเทนต์ที่ดีอยู่ในมือ ไม่ว่าจะไปอยู่ในแพลตฟอร์มไหนก็อยู่ได้ ไม่แน่ว่าผ่านไปอีกไม่กี่ปี สื่อดิจิทัลอาจไม่ใช่ช่องทางที่ดีที่สุดก็ได้
นักสร้างคอนเทนต์ไม่เกี่ยงแพลตฟอร์ม
โซน่า-โสภณา ตันมานะตระกูล ดิจิทัลเอดิเตอร์ของนิตยสารแอล แสดงความเห็นว่า “แอลดิจิทัล” เกิดขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนไป “ในแง่คอนเซ็ปต์ของแอลดิจิทัล เรายังเป็นเพื่อนสาวของคนรักแฟชั่นเหมือนนิตยสารแอล เพียงแต่สามารถเจอกับคนอ่านได้ทุกวัน สามารถอัพเดทเทรนด์ใหม่ๆ ได้รวดเร็ว แต่ถ้าผู้อ่านมองหาเนื้อหาที่เจาะลึกมากขึ้นก็ยังตามหาได้จากนิตยสารแอลเหมือนเดิม
เวลาเจอรุ่นน้องนิเทศศาสตร์ที่มาฝึกงาน สิ่งที่เราจะบอกเสมอคือ อย่ายึดติดกับคำว่านักหนังสือพิมพ์ หรือคนทำนิตยสาร แต่ให้มองภาพว่าเราคือคนสร้างคอนเทนต์ที่มีมาตรฐานและจรรยาบรรณ ถ้าคิดแบบนี้ ต่อให้อนาคตจะมีแพลตฟอร์มไหนกำเนิดขึ้นอีกเราก็ไม่ติดขัด แค่ปรับตัวไปตามชาแนลนั้นๆ อินเทอร์เน็ตอาจจะมาแรงในยุคนี้ แต่อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ในฐานะคนสร้างคอนเทนต์ เราต้องอย่าไปกลัวแพลตฟอร์ม แต่แค่เข้าใจแพลตฟอร์มใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นแล้วปรับตัวตาม”
ในฐานะคนสร้างคอนเทนต์ โซนาเชื่อว่า สุดท้ายแล้วคนอ่านจะเป็นผู้กลั่นกรองข้อมูลตามความสนใจ และเลือกว่าจะเสพหรือไม่เสพข้อมูลไหน
“อารมณ์เหมือนบางครั้งเล่นเฟซบุ๊ก เจอเพื่อนที่โพสต์สเตตัสเวิ่นเว้อ เรายัง Hide นั่นเพราะธรรมชาติของมนุษย์มีความคิดเป็นของตัวเอง มักจะเลือกรับหรือไม่รับอะไร เมื่อไหร่ที่เขาเห็นว่าบล็อกหรือเว็บไซต์นี้ป้อนคอนเทนต์ไม่น่าสนใจ ขายของอย่างเดียว สุดท้ายจะเลิกอ่านไปเอง”
ถึงเวลาคนสื่อปล่อยของ
สอดคล้องกับ โตมร ศุขปรีชา นักเขียน นักแปล และบรรณาธิการชื่อดัง แสดงทัศนะต่อสัญญาณชีพของสื่อสิ่งพิมพ์ ที่หลายคนลงความเห็นว่าร่อแร่ ใกล้ตาย ว่า มีทั้งส่วนที่จะตายและยังอยู่รอด เพราะต้องยอมรับว่าปัจจัยที่ทำให้สิ่งพิมพ์เข้าสู่ภาวะขาลงมาจากปัจจัยหลายอย่าง ทั้งเรื่องการตลาด กลไกราคา และ ที่สำคัญคือพฤติกรรมที่คนอ่านเปลี่ยนไปเสพสื่อออนไลน์
“การที่ผู้บริโภคหันไปเสพสื่อออนไลน์ ไม่ใช่เพราะอินเทอร์เน็ตมาเปลี่ยนโลกอย่างเดียว แต่เพราะในโลกออนไลน์มีการนำเสนอคอนเทนต์ในแบบที่นิตยสารส่วนใหญ่ทำ เช่น ฮาวทูเรื่องการมัดใจแฟน หรือฮาวทูสุขภาพ ซึ่งทุกวันนี้คนอ่านสามารถหาอ่านได้จากสื่อออนไลน์แบบฟรีๆ ขณะที่หนังสือพิมพ์ในแง่ความเร็วไม่สามารถแข่งขันกับโลกออนไลน์ได้เลย เพราะฉะนั้นโจทย์ใหญ่ที่จะย้อนกลับมาสู่คนทำสื่อ คือต้องนำเสนอคอนเทนต์ที่มีความยูนีก มีการนำเสนอเนื้อหาเชิงวิเคราะห์ที่ให้ข้อมูลมากกว่าข่าวควบคู่ไป ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์และออนไลน์ ซึ่งเป็นโมเดลของสื่อทั่วโลกที่ยังยืนหยัดอยู่ได้”
ถามว่า คนสื่อยุคนี้จะเอาอะไรไปต่อกรกับสื่อออนไลน์ นักเขียนชื่อดัง กล่าวว่า เวลานี้หมดยุคของนิตยสารที่จะขายความวาไรตี้ ให้แต่ความบันเทิง นำเสนอเนื้อหารับใช้การตลาดเพื่อเอื้อต่อการลงโฆษณา ซึ่งเป็นท่อน้ำเลี้ยงหลักของธุรกิจแล้ว
“โลกกำลังหมุนกลับมาสู่ยุคของคุณทมยันตี คุณโสภาค สุวรรณ ที่เริ่มต้นทำงานเขียนด้วยใจรักจริงๆ เขียนด้วยใจรัก สมัยนี้คนธรรมดาคนหนึ่งสามารถกลายเป็นคนดังในโลกออนไลน์ มีคนตามเป็นล้านๆ ได้ เพราะโลกเราเปิดกว้าง เปิดโอกาสมากขึ้น สมัยก่อนจะทำนิตยสาร 1 เล่ม ใช้เงินมหาศาล กว่าจะพิสูจน์ได้ว่ารุ่งหรือร่วงต้อง 2 ปีอย่างน้อย แต่เดี๋ยวนี้นำเสนอคอนเทนต์ออนไลน์ ไม่กี่เดือนก็รู้แล้ว”
เพราะฉะนั้น ท่ามกลางสังคมที่เปิดกว้างและเปิดโอกาสมากขึ้น โตมร ทิ้งท้ายว่า นี่คือยุคที่ทั้งสนุกและท้าทายสำหรับคนสื่อ เพราะท่ามกลางโอกาสที่มีอยู่มากมายรออยู่ข้างหน้า สิ่งที่ท้าทายคนในวงการสื่อคือการหาตัวตนและรูปแบบในการนำเสนอที่สะท้อนตัวเองออกมาให้ได้


