วรวุฒิ อัจฉริยศรีพงศ์ นักบริหารหนุ่มผู้มีวิสัยทัศน์
ฟลุ้ค-วรวุฒิ อัจฉริยศรีพงศ์ นักบริหารหนุ่มสุดสมาร์ทวัย 38 ปี ทายาทธุรกิจจิวเวลรี่ระดับไฮเอนด์
โดย...ภาดนุ
ฟลุ้ค-วรวุฒิ อัจฉริยศรีพงศ์ นักบริหารหนุ่มสุดสมาร์ทวัย 38 ปี ทายาทธุรกิจจิวเวลรี่ระดับไฮเอนด์ ผู้รั้งตำแหน่ง Business Development Director ของบริษัท เจมส์ พาวิลเลี่ยน เป็นนักบริหารรุ่นใหม่ผู้มีวิสัยทัศน์ในเรื่องงานและมีไลฟ์สไตล์เท่ๆ ในแบบของตัวเอง เราจึงอยากทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้น
“ผมเรียนจบปริญญาตรีด้านวิศวกรรมโยธา จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จากนั้นได้ไปเรียนต่อปริญญาโททางด้านวิศวกรรมอุตสาหการที่สถาบัน Rensselaer Polytechnic Institute คนส่วนใหญ่อาจจะไม่ค่อยคุ้นชื่อนัก เพราะเป็นมหาวิทยาลัยที่เน้นทางวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรม เมื่อเรียนจบกลับมาเมืองไทยในปี 2002 (อายุ 25 ปี) ผมก็เริ่มเข้ามาช่วยดูแลธุรกิจของครอบครัว ซึ่งทำเกี่ยวกับจิวเวลรี่ โดยโฟกัสทางด้านการผลิตโดยเฉพาะ
สมัยนั้นบริษัทเรามีพนักงานอยู่ไม่กี่คน เมื่อเข้ามาแรกๆ ผมยังไม่ค่อยมีความรู้ทางด้านการผลิตมากนัก พี่ๆ ทั้งสามคนของผมก็แทบจะไม่มีใครมีความรู้ทางด้านการผลิตเลย จึงเป็นเรื่องยากพอสมควร ในเมื่อไม่มีใครช่วยได้ ผมจึงนำวิธีคิดที่เป็นระบบจากตอนเรียนวิศวะมาแยกความสำคัญของปัญหาที่เกิดขึ้น ว่าปัญหาไหนควรต้องรีบแก้ไขก่อน หรือปัญหาไหนควรหาคนที่ใช่มาช่วยแก้ให้ โดยแยกย่อยปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นออกมาเป็นก้อนแล้วเพิ่มมุมมองของผมเข้าไปให้ผู้ที่ได้รับมอบหมายในการแก้ปัญหานี้ด้วย ทุกอย่างจึงค่อยๆ เข้าที่เข้าทาง เรียกว่าก็พอเอาตัวรอดมาได้ครับ”
ฟลุ้ค บอกว่า สไตล์การทำงานของเขาในช่วงแรกๆ จะทำงานอย่างจริงจังเกิน 100% จันทร์-เสาร์ ทำงาน 9 โมงเช้าถึง 4 ทุ่มทุกวันอยู่หลายปี แต่ในที่สุดก็กลับมานั่งคิดว่า ถ้าทำแบบนี้จะต่างอะไรกับเถ้าแก่เจ้าของกิจการล่ะ ยิ่งนานวันไปก็จะทำให้คิดอะไรใหม่ๆ ไม่ออก เขาจึงต้องตัดสินใจมอบหมายงานบางอย่างให้คนที่เหมาะสมไปทำแทนบ้าง
“ผมมองว่าการบริหารองค์กรก็เหมือนกับการจัดทัพ ผมจะใช้วิธีดูว่าในบริษัทมีแม่ทัพกี่คน คนนี้เหมาะกับงานทางด้านไหน มีจุดอ่อนจุดแข็งตรงไหนบ้าง ซึ่งผมตั้งเป้าหมายไว้ว่า ผมอยากจะเป็นคนที่คุมแม่ทัพอีกที แต่ตอนนี้ยังไปไม่ถึงตรงจุดนั้นนะ (หัวเราะ) ต้องบอกว่าตอนแรกที่เข้ามาผมอายุน้อย ฉะนั้นพนักงานที่ทำงานอยู่ก่อนหน้านั้นก็อาจยังไม่ค่อยเชื่อมือในการบริหารของผมสักเท่าไหร่ ผมจึงต้องพิสูจน์ตัวเองโดยการทำทุกอย่าง ยกเว้นว่าลงไปตะไบงานเองแค่นั้นที่ผมทำไม่ได้ เพราะช่างที่ทำต้องมีประสบการณ์เฉพาะหลายปี (ยิ้ม)
ที่ผ่านมาผมจะไปดูแลการผลิตจิวเวลรี่ที่โรงงานอยู่เสมอ ส่วนหนึ่งต้องดูแลควบคุมให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ตั้งไว้ อีกส่วนหนึ่งก็ต้องคิดล่วงหน้าไว้ด้วยว่า ภาพรวมขององค์กรและทิศทางของจิวเวลรี่ในอนาคตจะเป็นอย่างไร สุดท้ายก็จะมาสรุปอีกทีว่า มีวิธีการไหนบ้างที่จะทำให้ภาพที่เราคิดไว้สำเร็จได้ จากนั้นก็จะค่อยๆ เดินไปตามแนวคิดนั้นเรื่อยๆ โดยมองในระยะยาว ผมว่าการทำงานมันไม่มีสูตรสำเร็จที่ตายตัว ดังนั้นเราต้องปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งผมว่านี่แหละคือสิ่งที่ท้าทายที่สุด”
ฟลุ้ค เสริมว่า ปัจจุบันนี้นอกจากการบริหารธุรกิจของครอบครัวแล้ว เขายังต้องอัพเดทสิ่งใหม่ๆ ให้มากกว่าที่เคย ด้วยเหตุนี้เขาจึงเริ่มลงทุนทางด้านการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และต่อยอดไปสู่การทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เมื่อหลายปีก่อน
“ผมเริ่มชิมลางธุรกิจอสังหาฯ โดยสร้างอาคารพาณิชย์ขายที่ต่างจังหวัดก่อนโดยลงทุนร่วมกับเพื่อน ซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร จากนั้นก็ขยับไปลงทุนในที่ดินผืนใหญ่ขึ้น โดยสร้างบ้านจัดสรรและคอนโดขายในต่างจังหวัดเช่นกัน เพราะมีคู่แข่งน้อยกว่ากรุงเทพฯ โปรเจกต์ส่วนใหญ่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จด้วยดี
ผมคิดว่าธุรกิจจิวเวลรี่และธุรกิจอสังหาฯ มีหลักการบริหารที่เหมือนกัน จะต่างกันตรงที่แต่ละธุรกิจจะมีจุดยากที่ไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง อย่างธุรกิจจิวเวลรี่ของเราจะเน้นความเป็นไฮเอนด์ เน้นจิวเวลรี่ชิ้นใหญ่แบบลิมิเต็ด เอดิชั่น จุดยากจึงอยู่ที่การผลิตให้จิวเวลรี่มีความหลากหลาย การดีไซน์และพัฒนาผลิตภัณฑ์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ จุดยากอีกอย่าง ก็คือการสรรหาวัตถุดิบ เช่น เพชรและพลอยที่พิเศษจริงๆ เพื่อมาออกแบบและผลิต ซึ่งบางครั้งจะหายากมาก แล้วแต่ช่วงจังหวะที่ได้มา ทำให้แพลนการผลิตได้ยาก ส่วนจุดยากของธุรกิจอสังหาฯ นั้น จะต้องรู้ถึงความต้องการของลูกค้าให้ชัดเจน ที่สำคัญโปรเจกต์ต้องสร้างให้เสร็จทันเวลาและขายโอนให้รวดเร็ว ไม่เช่นนั้นก็จะเสียค่าดอกเบี้ยที่กู้เงินมาลงทุนมหาศาลเลยทีเดียว”
เนื่องในโอกาสที่ เจมส์ พาวิลเลี่ยน ครบรอบ 20 ปีในปีนี้ นักบริหารหนุ่มบอกว่า เป้าหมายในธุรกิจของเขาก็คือ มีการปรับเปลี่ยนองค์กรเดิม ที่มีความเป็นธุรกิจครอบครัวให้เป็นรูปแบบบริษัทแบบมืออาชีพให้มากขึ้น โดยจะจัดสรรพนักงานทุกฝ่ายให้ถูกกับงานให้มากที่สุด
“การพัฒนาบุคลากรเป็นเรื่องที่สำคัญอันดับต้นๆ ซึ่งบริษัทของเรามีการลงทุนพัฒนาองค์กรมาอย่างต่อเนื่องในหลายๆ ด้าน ทางด้านโปรดักต์นั้น เริ่มจากจุดมุ่งหมายในการสร้างสรรค์จิวเวลรี่ของเรานับตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้งบริษัทคือ จิวเวลรี่ของเราต้องส่งเสริมให้ผู้หญิงสวยและมีสไตล์ของตัวเองทั้งโททัลลุค ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า การแต่งหน้า ทรงผม รวมถึงโอกาสที่ใช้
ในวาระครบรอบ 20 ปี ทางเราจะมีการสร้างสรรค์จิวเวลรี่ชิ้นมาสเตอร์พีซ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเจมส์ พาวิลเลี่ยนเพื่อเฉลิมฉลองในครั้งนี้ด้วย เราเน้นรายละเอียดในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบจนถึงการผลิต ในส่วนของตัวผมเอง ผมดูแลสายการผลิตจิวเวลรี่ ผมจึงเน้นให้ความสำคัญกับงานฝีมือและรายละเอียดที่ต้องพิถีพิถันทุกขั้นตอน รอติดตามชมกันนะครับ
สำหรับแผนในอนาคตระยะสั้นที่ผมคิดไว้สำหรับธุรกิจจิวเวลรี่ นอกจากดูแลเรื่องการผลิตแล้ว ผมอาจจะไปช่วยหาตลาดใหม่ๆ เพิ่มให้อีก ส่วนธุรกิจอสังหาฯ ผมจะเน้นการลงทุนมากขึ้นและต้องได้รับผลตอบแทนมากขึ้นตามไปด้วย โดยผมจะหาผู้ช่วยที่เหมาะสม มาสานต่อธุรกิจให้ดำเนินไปได้ด้วยดี เพราะเราไม่สามารถจะทำคนเดียวได้ แม้อยากจะทำก็ตาม (ยิ้ม)
ปัจจุบันนี้ต้องบอกว่างานผมเบาขึ้นเยอะเลย เพราะผมมีทีมงานที่ดีที่น่ารักคอยช่วย ซึ่งผมต้องขอบคุณพวกเขามากๆ และที่สำคัญยังเป็นการทำงานที่ส่งเสริมกันทุกทางจากพี่น้อง ปัจจุบันนี้ผมจึงเลิกงานได้เร็วขึ้น มีเวลาออกไปหาความรู้อื่นๆ ไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสหรือว่ายน้ำบ้าง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ส่วนวันหยุดพักผ่อน ด้วยเวลาที่มีไม่เยอะ ส่วนใหญ่พอคิดปั๊บผมจะขับรถไปเที่ยวแถวชายทะเลหัวหินโดยหยิบหนังสือดีๆ ไปด้วยหนึ่งเล่ม แล้วผมก็จะพักอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหนเลยล่ะ จะเน้นการพักผ่อนจริงๆ เพื่อชาร์จพลังให้กับตัวเอง
ถ้าเป็นทริปยาวๆ เราจะมีแฟมิลี่ทริปปีละ 2 ครั้ง โดยจะไปเที่ยวต่างประเทศกันทั้งครอบครัวเลย ซึ่งเราจะดูว่าสถานที่ที่จะไปเที่ยวกันนั้น มีที่ไหนแปลกและน่าสนใจบ้าง จากนั้นก็จะแพลนไว้ล่วงหน้าแล้วค่อยนัดเวลาไปเที่ยวด้วยกันอีกที แต่ก็จะมีทริปที่ต้องเดินทางไปทำงานต่างประเทศ ผมก็อาจจะขอแยกไปเที่ยวเองสัก 2-3 วันสุดท้าย แล้วค่อยบินกลับมาทีหลังครับ (หัวเราะ)”
ฟลุ้ค ทิ้งท้ายว่า งานอดิเรกที่เขาชอบก็คือการดำน้ำ ส่วนใหญ่ถ้าหาเวลาว่างได้สัก 4-5 วัน เขามักจะไปดำน้ำที่มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งมีไซต์ดำน้ำเยอะมาก แต่ละที่ก็จะมีความสวยงามและความน่าสนใจไม่เหมือนกัน
“สิ่งที่ผมชอบอีกอย่างก็คือการปฏิบัติธรรม เพราะช่วยให้จิตใจเรานิ่งและสงบดีครับ โดยผมจะเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมแบบปกติเพื่อให้เข้าใจการปฏิบัติธรรมลึกซึ้งมากขึ้น และไปปฏิบัติธรรมในป่า นอนในถ้ำ เพื่อหาประสบการณ์ อีกอย่างมันเหมือนกับเราได้พลัง และได้ตั้งสติจากการปฏิบัติธรรมด้วย
เมื่อเราเจอเรื่องราวต่างๆ มากมายจากการใช้ชีวิตประจำวัน มันอาจจะทำให้เรารู้สึกเป๋ๆ ไปบ้าง หากเราได้ไปปฏิบัติธรรมก็เหมือนเราได้ไปตั้งศูนย์ให้กับร่างกายและจิตใจตัวเองใหม่ เมื่อกลับมาทำงานและใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ ก็จะทำให้เราจัดการชีวิตได้ดีขึ้นครับ”


