เบื้องหลัง ‘เขา’ คือ ‘มัน’ ที่เปลี่ยนจีน
ขึ้นชื่อว่าจีนแล้ว เล็กๆ ไม่ ใหญ่ๆ เยอะๆ เท่านั้น จำนวนประชากรชาวจีนก็เช่นกัน เอาตัวเลขในปัจจุบัน
โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์
ขึ้นชื่อว่าจีนแล้ว เล็กๆ ไม่ ใหญ่ๆ เยอะๆ เท่านั้น จำนวนประชากรชาวจีนก็เช่นกัน เอาตัวเลขในปัจจุบัน ประชากรบนโลก 1 ใน 6 คือชาวจีน โดยอัตราส่วนนี้ยังไม่นับอากงอาม่าอาตี๋อาหมวยโพ้นทะเล
จำนวนประชากรคือพลังของจีนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะจำนวนประชากรคือตัวเลขภาษีและกำลังทหารของชาติ
กว่า 2,500 ปีที่แล้วในยุคจ้านกว๋อของจีน กษัตริย์โกวเจี้ยน (คนเดียวกับที่วางอุบายส่งสาวงามไซซีไปล่มก๊กคู่แค้น) เคยใช้มาตรการสร้างชาติที่คนโสดขี้เกียจหาแฟนยุคนี้ต้องอิจฉา
โกวเจี้ยนออกกฎหมาย บ้านใดลูกสาวอายุถึง 17 หรือลูกชายอายุถึง 20 แล้วยังมิได้แต่งงานมีครอบครัว ถือว่าผิด! พ่อแม่ต้องรับโทษ นอกจากนั้นหากบ่าวสาวคู่ใดเกิดตั้งท้อง รัฐสวัสดิการของโกวเจี้ยนจะจัดหาหมอไปดูแลทำคลอด หากได้ลูกชาย จะได้ของกำนัลจากรัฐเป็นเหล้าสองกา หมาหนึ่งตัว ส่วนถ้าเป็นลูกสาวจะได้เหล้าสองกาเช่นกัน กับหมูหนึ่งตัว
ในยุคสมัยที่ยกย่องชายมากกว่าหญิง นี่เป็นอัตราของกำนัลที่ดูสลับที่สลับทางกัน ดูเหมือนโกวเจี้ยนจะให้ความสำคัญกับหญิงมากกว่าชาย
เพราะโกวเจี้ยนเล็งเห็นว่าในธรรมชาติปริมาณประชากรหญิงเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มพลเมือง โดยเฉพาะในยุคที่ไม่ได้ยึดถือกับระบบผัวเดียวเมียเดียว
ถึงจีนจะเน้นตัวเลขประชากรมาตั้งแต่หลายพันปีที่แล้ว จำนวนประชากรสูงสุดจะขึ้นถึงจุดสูงสุดได้แค่ 1-200 ล้านเท่านั้น เมื่อใดที่จำนวนพยายามก้าวข้ามเส้นนี้ไป ซักพักก็จะถูกดึงกลับลงมาใต้เส้นนี้อีกครั้ง ด้วยมือที่มองไม่เห็นซึ่งแสดงออกมาเป็นสงครามบ้าง เป็นทุพภิกขภัยบ้าง
มือที่มองไม่เห็นที่คอยดึงจำนวนประชากรกลับมาคืออะไร
นั่นคือข้อจำกัดของทรัพยากรอาหาร นอกจากกองทัพเดินด้วยท้องแล้ว เกษตรกร พ่อค้า ขุนนาง กษัตริย์ ก็เดินด้วยท้องทั้งนั้น
สังคมที่คนหนึ่งคนมีประสิทธิภาพในการผลิตอาหารเลี้ยงคนได้มากๆ ย่อมทำให้เกิดผลผลิตส่วนเกิน หล่อเลี้ยงชนชั้นต่างๆ นอกเหนือเกษตร ทำให้สังคมซับซ้อนขึ้น และพัฒนาระบบสังคมต่างๆ ขึ้นในภาพรวม
แน่นอนว่าประชากรที่เพิ่มขึ้นย่อมทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น แต่จำนวนประชากรจะเพิ่มเป็นทวีคูณรวดเร็วในขณะที่พื้นที่ผลิตอาหารเพิ่มขึ้นเป็นเส้นตรงหรืออาจไม่เพิ่มขึ้นเลยเพราะมีข้อจำกัดทางอาณาเขต ด้วยอัตราที่ไม่ไปด้วยกันย่อมนำไปสู่จุดที่ปริมาณอาหารไม่สามารถเลี้ยงประชากรได้
หากไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรก็จะนำไปสู่ความขาดแคลนในทุกชนชั้น เกษตรกรอดตาย ชนชั้นที่เหลือย่อมสะเทือน
คนยากจนเป็นเหยื่อของทุพภิกขภัย ที่รวมกลุ่มเข้มแข็งได้ก็เกิดเป็นกบฏ และหากชนชั้นนำไหวตัวทัน การปรับตัวอาจสำแดงพลังออกมาเป็นสงครามขยายดินแดน
ตัวเลขประชากร 1-200 ล้านคนในอาณาจักรจีน จึงเป็นตัวเลขที่แสดงกรอบความสามารถของที่ดินในแผ่นดินจีน ที่เลี้ยงประชากรได้เพียงเท่านี้ ด้วยเทคโนโลยีการเพาะปลูกสมัยโบราณ
มือที่มองไม่เห็น ก็คือมือจากข้อจำกัดของทรัพยากรที่คอยดึงตัวเลขประชากรให้อยู่ในขอบข่ายที่สมเหตุสมผล
แต่มีเรื่องน่าแปลกเกิดขึ้นในช่วง ค.ศ.1500-1860 ซึ่งก็คือราชวงศ์หมิงเป็นต้นมาถึงช่วงราชวงศ์ชิง จำนวนประชากรจีนพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นกราฟความชันเหมือนตลาดหุ้นกระทิงดุ จำนวนประชากรจีนพุ่งทะยานขึ้นไปถึง 400ล้านคน
ทั้งๆ ที่เทคโนโลยีการเกษตรในยุคนั้น ก็ไม่ได้ต่างกับยุคก่อนหน้า
ขอบเขตอาณาจักรที่เพิ่มขึ้นมาในราชวงศ์ชิง ก็เต็มไปด้วยเทือกเขาสูง ทะเลทราย ไม่ใช่แหล่งเพาะปลูก แถมบันทึกผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ต่อไร่ของราชวงศ์ชิง ยังน้อยกว่าที่บันทึกไว้ในสมัยราชวงศ์หมิงเสียอีก
เจ้ามือรายไหนลงปั่นหุ้นประชากรจีน?
เจ้ามือรายนี้คือสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า “มัน”...มันแบบมันเทศมันฝรั่งนี่แหละ!
มันเทศมีต้นกำเนิดจากทวีปอเมริกาใต้ เมื่อนักผจญภัยประเภทคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ไปถึงอเมริกา นอกจากความลันล้าที่ได้พบโลกใหม่ นักผจญภัยเหล่านี้ยังได้นำสิ่งที่ไม่เคยมีในแผ่นดินแม่ไปเผยแพร่ในแผ่นดินใหม่ และนำสิ่งที่ไม่เคยมีในแผ่นดินใหม่ กลับไปเผยแพร่ในแผ่นดินแม่ มองผิวเผินนั่นคือการแลกเปลี่ยนซื้อขาย แต่นี่แหละคือจุดเปลี่ยนโลก
หนึ่งในสินค้าที่นำกลับมาจากทวีปอเมริกา คือพืชประเภทมัน และมันก็เผยแพร่ไปอาณานิคมกลุ่มประเทศยุโรป ปี ค.ศ. 1593 นักเดินทางชาวฮกเกี้ยนชื่อเฉินเจิ้นหลง ลักลอบนำมันเทศมาจากฟิลิปปินส์ (อาณานิคมสเปน) นำมาปลูกในแถบฮกเกี้ยน เพราะเห็นว่าเป็นพืชทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจ
มันเทศปลูกง่ายทั้งในดินดีและดินด้อย ในที่แห้งแล้งก็ยังสามารถขึ้นได้ หัวของมันเทศฝังอยู่ใต้ดิน ปิดโอกาสรบกวนจากโรคและแมลงหลายชนิดซึ่งเป็นปัญหาหลักของเกษตรกรจีนเสมอมา ผลผลิตต่อไร่ก็มากกว่า
ดินแดนฮกเกี้ยนที่เต็มไปด้วยภูเขา จึงเหมือนได้ทางเลือกใหม่ๆ ในการผลิตอาหาร แต่ด้วยเหตุผลต่างๆ กว่ามันเทศจะได้รับการใส่ใจจากราชสำนัก ก็ปาเข้าไปในสมัยกลางราชวงศ์ชิง อย่างไรก็ตามนั่นทำให้แผ่นดินเลี้ยงประชากรได้มากขึ้นจนตัวเลขจำนวนชาวจีนในช่วงหลังเร่งพุ่งสู่หลัก 400 ล้าน
“มัน” ทำให้ประชาชนที่ยากไร้ ได้รับการการันตีมากขึ้นว่าจะไม่อดตาย
อันที่จริงก็ไม่ใช่แต่มันฝรั่งที่เปลี่ยนสภาวการณ์ประชากรจีน ข้าวโพด มะเขือเทศ ก็มีส่วนด้วยเช่นกัน ซึ่งล้วนแต่มีผลจากการแลกเปลี่ยนกับโลกภายนอกทั้งสิ้น
นี่ยังไม่นับถึงเทคโนโลยีการเพาะปลูกใหม่ใดๆ
ประวัติศาสตร์ของทรัพยากรอาหาร จึงเป็นตัวกำหนดขนาดอาณาจักร และชะตากรรมของอารยธรรม ทั้งความยาวนานของสันติภาพ รวมถึงขนาดและวัฏจักรของสงคราม
ถ้าจะพูดให้ตื่นเต้นขึ้นอีกหน่อยก็พอจะบอกได้ว่า มือที่มองไม่เห็นนี้นี่แหละคือตัวจักรสำคัญเบื้องหลังบทบาทของ “เขา” ทั้งหลาย ฮ่องเต้ แม่ทัพ และกบฏชาวนา
ความชื่นชมในปรีชาสามารถหรือความอ่อนด้อยของ “เขา” ทั้งหลายที่เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ผู้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ความรุ่งเรืองและล่มสลายที่ลอยค้างอยู่เหนือการพิจารณาบริบทด้านอาหารและทรัพยากร จึงยังต้องสงสัยว่าเป็นเรื่องผิวเผินเกินไปหรือไม่
แท้ที่จริงแล้วนอกจากทรัพยากรอาหาร ยังมีปัจจัยอีกมากที่ขับเคลื่อนสังคมโลกและสังคมมนุษย์ มากกว่าตัวบุคคล เขาเหล่านั้นอาจเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของปัจจัยเหล่านี้เท่านั้น
และปราศจากความเข้าใจการขับเคลื่อนประวัติศาสตร์จากปัจจัยนอกเหนือตัวบุคคลแบบนี้ ชาวนาก็แค่คนปลูกข้าวมาขาย มันเทศมันฝรั่งก็แค่รสชาติที่แปลกใหม่ เฟซบุ๊กก็แค่ของเล่นในโลกอินเทอร์เน็ตที่ใครๆ เขาใช้กันปิดประเทศเมื่อไหร่ ก็แค่ยังกินข้าวต่อไป แค่มีรสชาติหลากหลายน้อยลงหน่อย และแค่อดเล่นเฟซบุ๊ก


