นักการเงิน-การลงทุนสุดเท่ ดาลัด ตันติประสงค์ชัย
นักบริหารหญิงยุคใหม่ กับไลฟ์สไตล์ทำงานที่มีตารางเวลายุ่งและต้องเดินทางต่างประเทศอยู่เสมอๆ ค่าที่ ดาลัด ตันติประสงค์ชัย
โดย...วราภรณ์ ภาพ : กฤษณ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร
นักบริหารหญิงยุคใหม่ กับไลฟ์สไตล์ทำงานที่มีตารางเวลายุ่งและต้องเดินทางต่างประเทศอยู่เสมอๆ ค่าที่ ดาลัด ตันติประสงค์ชัย รองประธานกรรมการ Crescent Point Group บริษัทที่ปรึกษาด้านการเงินและการลงทุนไพรเวท อิควิตี้ชั้นนำในแถบเอเชียแปซิฟิก แต่บริษัทตั้งอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ เธอจึงต้องบินไปให้คำปรึกษาด้านการเงินและการลงทุนอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดแนวคิดสร้างธุรกิจ FABbrigade ไลฟ์สไตล์แอพพลิเคชั่นที่ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองในยุคดิจิทัล รวบรวมผู้เชี่ยวชาญด้านการแต่งหน้า ช่างทำผม ครูสอนโยคะพิลาทีส เทอราปีสนวด หรือช่างทำเล็บระดับมืออาชีพตรงถึงบ้านได้ทุกที่ทุกเวลา ลูกค้าสามารถจองบริการผ่านแอพพลิเคชั่น เพื่อการเดลิเวอรี่ไปให้บริการถึงบ้าน โรงแรม หรือที่ที่ลูกค้าต้องการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ถือเป็นครั้งแรกของเมืองไทยกับบริการที่พิเศษแบบนี้
การทำงานเก่ง มีแนวคิดการทำธุรกิจแบบใหม่ๆ ดาลัดนักบริหารวัย 32 อาจได้มาจากการที่เธอเป็นทายาท อุดม ตันติประสงค์ชัย อดีตเจ้าของและผู้บริหารบริษัท โอเรียนท์ ไทย แอร์ไลน์ เจ้าของสายการบิน โอเรียนท์ ไทย และสายการบินวันทูโก สายการบินต้นทุนต่ำรายแรกของไทย ทำให้เธอคุ้นเคยกับการบริหารจัดการธุรกิจเป็นอย่างดี
หลังจากศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะบริหารธุรกิจ ภาคภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เธอเข้าไปช่วยบริหารสายการบินพักหนึ่ง ก่อนย้ายไปทำงานเป็น Account Planner ที่บีบีดีโอ (ประเทศไทย) เรียกว่าเป็นนักวางแผนกลยุทธ์ด้านการตลาดที่อายุน้อยที่สุดของบริษัทด้วยวัยเพียง 19 ปี จากนั้นเธอเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโทสาขา Public Policy and Administration ที่ เดอะ ลอนดอน สคูล ออฟ อีโคโนมิกส์ แอนด์ โพลิติคัล ไซน์ซ เรียนจบก็เข้าทำงานเป็นผู้จัดการที่ Bain & Company ถือเป็นหนึ่งในผู้บริหารหญิงที่เก่งของบริษัทในฐานะที่ปรึกษามือฉมังที่อายุน้อยที่สุดกับประสบการณ์ระดับอินเตอร์ในหลายภูมิภาคทั่วโลก อาทิ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, อังกฤษ, จีน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรองผู้อำนวยการบริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนผู้หญิงเพียงคนเดียวในบริษัท
สำหรับความสามารถทั้งหลายที่มี ดาลัด ยกประโยชน์ทั้งหมดให้คุณพ่อ ซึ่งถือเป็นไอดอลในการทำงานของเธอ
“ดิฉันเติบโตมาในครอบครัวที่คุณพ่อเป็นนักธุรกิจที่สร้างมาเองกับมือ คุณพ่อเป็นลูกคนจีนที่ต้องทำอะไรเองตั้งแต่เด็กๆ ส่วนดิฉันเป็นลูกสาวคนกลาง มีพี่สาว 1 คน และน้องชาย 1 คน ดิฉันเป็นลูกคนที่สองซึ่งคุณพ่ออยากได้ลูกชายมาก ดิฉันจึงมีนิสัยและท่าทางเหมือนเด็กผู้ชาย ตอนเด็กๆ ชอบไปแคมปิ้งมาก ตั้งแต่เด็กเห็นคุณพ่อทำงานเยอะและทำงานหนักมาโดยตลอด และเดินทางเยอะ แต่คุณพ่อจะพาครอบครัวไปด้วย ทำให้ดิฉันเห็นการทำงานของคุณพ่อ เพราะท่านอยากเราเห็นด้วยว่า ท่านทำงานอย่างไร
แรกๆ ท่านทำธุรกิจซื้อขายเครื่องบินแบบเหมาเครื่อง มีครั้งหนึ่งคุณพ่อต้องบินไปสหรัฐเพื่อไปซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 747 ซึ่งคุณพ่อก็พาเราไปกันทั้งครอบครัว และถือเป็นการพักผ่อนไปด้วย คุณพ่อพาไปดิสนีย์แลนด์ ไปเพื่อนั่งเครื่องบินกลับมาที่เมืองไทย จำได้ว่าตอนนั้นอายุ 12 และระหว่างทางต้องหยุดแต่ละประเทศ เราได้ไปเที่ยวประเทศหรือเกาะที่ไม่เคยไป ทำให้ดิฉันเห็นอะไรเยอะตั้งแต่เด็กๆ ทำให้มุมมองดิฉันเปิดกว้าง บางครั้งคุณพ่อให้ดิฉันนั่งด้วยในห้องประชุม เพื่อให้สังเกตการณ์ สิ่งที่ได้เห็นคือ วิธีการเจรจาธุรกิจ การดีลในแต่ละงาน เหมือนการอ่านหนังสือ The Art of War คือวิธีการอ่านคำพูดของคน พ่อสอนวิธีเจรจาธุรกิจ คุณพ่อมักถามดิฉันว่า ได้เรียนรู้อะไรบ้างเสมอ ตั้งแต่เด็กๆ พ่อสอนเรื่องความอดทน เป็นคนมีสัจจะในคำพูด คุณพ่อไม่ดุ แต่คุณพ่อไม่ชอบคนโกหก เช่น ลูกอย่าโกหกเรื่องไปเที่ยวกับเพื่อน มีอะไรให้พูดขอตรงๆ"
อีกสิ่งที่ดาลัดได้เรียนรู้จากคุณพ่อคือ อย่ายอมแพ้ "คุณพ่อผ่านอะไรมาเยอะ พ่อออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 15 ชีวิตวัยเด็กคุณพ่อไม่ได้สบาย ทุกอย่างที่เขาทำ เขาเสียสละให้น้องชายได้ไปเรียนเมืองนอก เพราะเขาเป็นลูกชายคนโตจาก 7 คน หลายอย่างที่พ่อเลือกทำ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ดิฉันถือว่าตัวเองโชคดีที่เกิดมาไม่ลำบาก พ่อเตือนว่าอย่าลืม ยูเกิดมาแล้วยูมี พ่อจะสอนให้เรารักษาโอกาสที่เราได้มาให้ดี และก็ต้องทำทุกโอกาสที่เราได้มาให้ดียิ่งขึ้น เราไม่ควรที่จะปล่อยให้โอกาสที่ได้มาให้หายไป "
ดาลัดจัดเป็นเด็กหัวดีและเรียนเร็วเพราะอายุเพียง 19 ปีก็ศึกษาจบระดับปริญญาตรีแล้ว ทำให้เธอก้าวสู่วัยทำงานที่เร็วกว่าเด็กๆ ในรุ่นเดียวกัน "ดิฉันเรียนมหาวิทยาลัยตอนอายุ 16 จบเมื่ออายุ 19 แล้วก็เข้าไปทำงานที่บริษัทเอเยนซี แล้วคุณพ่อก็ให้ไปบริหารสายการบิน แต่ด้วยความที่ดิฉันไม่มีประสบการณ์และยังเด็กมาก อย่างเรียกบอร์ดมาประชุมซึ่งเขาก็คาดหวังว่าจะได้เจอผู้บริหารที่อายุมากและมีประสบการณ์ แต่เขามาเจอเราซึ่งเป็นเด็ก ก็รู้สึกท้อ
คุณพ่อก็พูดให้ฟังว่า เรื่องอายุไม่ใช่เรื่องที่ยูจะยอมแพ้ การทำงานไม่เกี่ยวกับอายุ ถ้ายูมีความสามารถในการเป็นผู้นำคนจริงๆ เราต้องทำให้ทีมเห็นว่า เขาเข้ามาประชุมกับเราแล้วเห็นผลงานได้จริง ซึ่งเราก็พยายาม แต่เราก็ยังเด็ก เลยบอกคุณพ่อว่า ยังไม่พร้อมจริงๆ เลยขอไปเรียนต่อปริญญาโท เพราะเราอยากทำงานข้างนอกที่ไม่ใช่อยู่ในฐานะลูกเจ้าของ เพราะดิฉันเชื่อว่า เราควรทำงานในตำแหน่งที่ต่ำที่สุดก่อน เพราะดิฉันคิดว่า เราจะเป็นหัวหน้าหรือซีอีโอที่ดี เราต้องเข้าใจลูกน้องก่อนว่าเขาคิดอะไร และต้องการอะไร ถ้าลูกเจ้าของก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารเลย เราจะมีสิทธิอะไรไปสั่งงานเขา เพราะเรายังไม่รู้รายละเอียดของงานเขาเลย ก็เลยขอไปทำงานข้างนอกอยากเจอนายที่ดีที่สอนงานเราได้ เพราะดิฉันชอบเรียนรู้ เพื่อเราจะได้โตมาในจุดที่เราจะนำคนได้ นั่นคือความคิดของเรา"
ด้วยฐานของบริษัท Crescent Point Group บริษัทที่ปรึกษาด้านการเงินและการลงทุนไพรเวท อิควิตี้ชั้นนำในแถบเอเชียแปซิฟิก แต่บริษัทตั้งอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์เธอจึงต้องบินอยู่เสมอๆ แม้อายุเพียง 32 ปีแต่ก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรองประธานกรรมการบริษัท และเธอเป็นเพียงผู้หญิงคนเดียวในบริษัท ซึ่งกว่าจะพิสูจน์ตัวเองและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ความอดทนและตั้งใจเป็นที่ตั้ง
"ดิฉันทำงานต่างประเทศมาตั้งแต่อายุ 23 ปี ซึ่งปัจจุบันบริษัทที่ดิฉันทำอยู่เป็นของบริษัทข้ามชาติ ที่มีหน้าที่บริหารกองทุนมูลค่า 800 ล้านเหรียญสหรัฐ เรามีหน้าที่ให้คนมาลงทุนในกองทุนต่างๆ แล้วเราก็นำเงินไปลงทุนในบริษัทอื่นๆ อีกที ซึ่งดิฉันก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารตั้งแต่อายุ 31 ปี ต้องใช้ทั้งความอดทนและความตั้งใจ
เราทำตลาดในเอเชีย ซึ่งมีมุมมองที่ต่างกัน อีกทั้งการที่ดิฉันทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมที่ทีมงานเป็นชายเสียส่วนใหญ่ ดิฉันเป็นหญิงเดียวมาตลอด แต่อาจเป็นเพราะดิฉันไม่เกี่ยงงาน บางครั้งเวิร์กฮาร์ดกว่าผู้ชาย เพราะเราเคยมีนายเป็นอเมริกันเอเชีย ตอนนั้นดิฉันอายุ 20 กลางๆ เขาเรียกดิฉันไปคุยว่า ดาลัดเธอรู้ไหมว่าเธอเป็นผู้หญิง อีกทั้งเธอยังหน้าเหมือนเด็ก ไอก็เหมือนกัน ไอรู้ว่า ถ้ายูจะไปในจุดที่อยากไป ยูต้องเวิร์กฮาร์ดกว่าคนอื่นถึง 5 เท่า เพราะคนจะตัดสินใจจากสิ่งที่เขาเห็น เธอทำได้ไหม เธอต้องเวิร์กฮาร์ดเพื่อพิสูจน์ตัวเองนะ
จริงๆ แล้วโลกเราผู้หญิงก็เก่ง แต่ในเมืองไทยอาจมีมุมมองเป็นผู้หญิงทำได้ไหมเนี่ย อ่อนไปหรือเปล่า ซึ่งเราต้องพิสูจน์ตัวเอง แต่ดิฉันคิดว่าตัวเองโตเร็ว เพราะเราโดนให้อยู่ในสถานการณ์ที่เร่งให้เราโต
ดิฉันมีลูกน้องเป็นผู้ชายทั้งหมด ซึ่งเราจะดีลงานอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับคนเลย เพราะหญิงกับชายดีลงานก็ต่างกัน เวลาบริหารลูกน้องดิฉันก็ต้องคุยกับทีมว่า แต่ละคนมีแรงบันดาลใจในการทำงานของเขาคืออะไร ความฝันหรือสิ่งที่เขาอยากเป็นคืออะไร เมื่อเทียบกับสกิลที่เขามีเขาอยู่ตรงไหน เราคุยกับลูกน้องว่าคุณอยากไปตรงนั้นคุณจะต้องทำอะไรบ้าง เพื่อการสร้างแรงบันดาลใจให้กับเขา และเพื่อเราและเขาจะได้ทำงานไปให้ถึงในจุดมุ่งหมายเดียวกัน และต้องบอกให้เขาพัฒนาตนเองตรงไหน และเราในฐานะหัวหน้าก็ต้องเป็นแรงที่ดีให้เขาไปถึงจุดที่เขาฝันให้ได้"
ในโลกแห่งความเป็นจริงบางครั้ง ผู้หญิงบางคนก็อาจไม่กล้าเติบโต เพราะอาจประเมินตัวเองต่ำเกินไป ดาลัดมีวิธีคิดมาแนะนำ เพื่อเพิ่มความก้าวหน้าในชีวิตการทำงานให้ทัดเทียมกับชาย
"ผู้หญิงไทยหลายคนคิดว่า เราเติบโตในหน้าที่การงานไมได้หรอก คงบอกได้อย่างดียว ไม่มีใครเพอร์เฟกต์ ไม่ว่าเราเก่งแค่ไหน ทุกคนเฟลได้ ทุกคนผิดพลาดได้ ทำงานเราอาจพบอุปสรรค หรือบางครั้งก็อาจโดนนายว่า หรือบางครั้งเราอาจตัดสินใจผิดไป ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ทั้งในชีวิตทำงาน ความคิดส่วนตัว ถ้าเราแทนที่จะโทษคนอื่น แต่เราลองมองย้อนกลับมาว่า เราทำอะไรไปบ้าง มันมีอะไรตรงไหนที่เรายังมองไม่เห็น หรือมองเห็นแล้วเราเรียนรู้อะไร เพื่อที่เราจะได้หาวิธีแก้ปัญหาให้ตรงจุด" บางครั้งหากใครทำผิดพลาด ก็ต้องโทษตัวเองบ้าง และต้องเข้าใจว่า ทุกคนมีจุดบกพร่องตรงไหน
"ยิ่งผู้หญิงมีอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าผู้ชาย บางครั้งเราก็รับแรงกระแทกไม่ไหว ซึ่งในชีวิตเราทุกคนก็เคยเฟล แต่เราอาจต้องรู้วิธีการดึงตัวเองออกมาจากตรงนั้น เราต้องมองโลกในแง่ดีเข้าไว้ ต้องหาข้อผิดพลาด อย่ามัวหมกมุ่นกับปัญหา แล้วเราจะก้าวไปได้ อีกทั้งทัศนคติต้องดี เราต้องกล้าให้คนมาด่าเรา เราต้องเปิดใจคุยกันในการทำงาน ยิ่งอยู่ในระดับหัวหน้าเราเปิดใจทำงาน เราต้องรับฟีดแบ็กได้ เพราะไม่มีใครดีไปหมด 100 อย่างค่ะ”


