posttoday

มนตราบางปะอิน

11 มิถุนายน 2559

บางปะอินมีมนตร์ขลัง... แต่ไม่ยักจะเชื่อ จนไม่กี่วันที่ผ่านมาได้ตกปากรับคำไปบางปะอินกับมิตรสหายตามโครงการ

โดย...กาญจน์ อายุ

บางปะอินมีมนตร์ขลัง... แต่ไม่ยักจะเชื่อ

จนไม่กี่วันที่ผ่านมาได้ตกปากรับคำไปบางปะอินกับมิตรสหายตามโครงการวันธรรมดา Super น่าเที่ยว Only@ภาคกลาง ตั้งใจว่าจะทิ้งกรุงเทพฯ ทิ้งงาน แล้วไปใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์สักสองวัน ซึ่งค้นพบว่าการเที่ยววันธรรมดานี่ดีงามนัก ทั้งเรื่องการเดินทางจากกรุงเทพฯ-บางปะอินเพียงชั่วโมงกว่าซึ่งพอๆ กับอโศกไปเอกมัยในเช้าวันจันทร์ หรือเรื่องนโยบายโรงแรมที่มักจะลดราคาและให้สิทธิอัพเกรดห้องพักในวันธรรมดาโดยไม่ต้องอ้อนวอน และเรื่องสำคัญคือ บรรยากาศปลอดผู้คน ไม่ต้องต่อคิว ไม่แย่งกันเซลฟี่ ซึ่งถือเป็นอภิสิทธิ์ของคนเที่ยววันธรรมดา

บางปะอินมีหลายเส้นทางทั้งพระราชวัง วัดไทยดีไซน์โกธิก และโฮมสเตย์เกาะเกิด หลากรสทั้งประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม ศาสนา และวิถีชีวิต บนพื้นที่ 229.1 ตร.กม. แผ่นดินของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยา และยังมีความสำคัญเรื่อยมาจนถึงรัตนโกสินทร์

มนตราบางปะอิน แม่ลำพูน พรรณไวย ผู้นำชุมชนเกาะเกิด

 

ชมวัง ยลวัด

อย่างแรกที่รู้สึกคือ โชคดีเหลือเกินที่เกิดยุคนี้ ยุคที่พระราชวังเปิดให้คนทั่วไปชมความงามและศึกษาสถาปัตยกรรมเคียงคู่ประวัติศาสตร์อย่างใกล้ชิด

พระราชวังบางปะอินสร้างโดยพระเจ้าปราสาททองสมัยกรุงศรีอยุธยา ผ่านยุคที่ทรุดโทรมหลังเสียกรุงปี 2310 จนเข้าสู่ยุคฟื้นฟูต้นรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่ง เรือนแถวฝ่ายใน และพลับพลาริมน้ำขึ้นใหม่ จากนั้นสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งและสิ่งก่อสร้างมากมาย กระทั่งปัจจุบันก็ยังคงใช้เป็นที่ประทับและที่ต้อนรับพระราชอาคันตุกะเป็นครั้งคราว

มนตราบางปะอิน ประตูเทวราชครรไลก่อนเข้าเขตพระราชฐานชั้นใน

 

พระราชวังเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์) โดยเลือกได้ว่าจะเดินชมหรือเช่ารถกอล์ฟ แผนที่ระบุไว้ทั้งหมด 39 จุด ถ้าตัดอาคารบริการนักท่องเที่ยวออกไปจะเหลือ 32 จุดในเขตพระราชฐานชั้นนอกและชั้นใน

จุดแรกควรไปสักการะพระเจ้าปราสาททองตามธรรมเนียมไปลามาไหว้ที่หอเหมมณเฑียรเทวราช เป็นปรางค์ศิลาแบบขอมสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่ออุทิศถวายแด่พระเจ้าปราสาททอง ถัดออกไปคือ พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ ตั้งอยู่กลางสระน้ำ สร้างแบบปราสาทจตุรมุขโดยได้จำลองมาจากพระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาทในพระบรมมหาราชวังสมัยรัชกาลที่ 5 ปัจจุบันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปหล่อสัมฤทธิ์ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 และเป็นแลนด์มาร์คของพระราชวังบางปะอิน

มนตราบางปะอิน พิพิธภัณฑ์รถม้าพระที่นั่ง

 

ริมสระน้ำจะมีอาคารแบบตะวันตกสองแห่ง ฟากหนึ่งคือพระที่นั่งวโรภาษพิมาน เป็นพระที่นั่งชั้นเดียวสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 ใช้เป็นที่ประทับและเสด็จออกว่าราชการภายในห้องโถง ภายในไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปและผู้หญิงทุกคนต้องใส่กระโปรงสุภาพหรือนุ่งผ้าถุงที่เตรียมไว้ให้ก่อนเข้าชม ส่วนอีกฟากเรียกว่า ประตูเทวราชครรไล เป็นประตูทางเข้าสู่พระราชฐานชั้นใน ปัจจุบันทำเป็นพิพิธภัณฑ์รถม้าพระที่นั่ง

จากนั้นเดินทอดน่องเข้าสู่เขตพระราชฐานชั้นในจะพบกับพระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร เรือนไม้สองชั้นแบบชาเลต์สวิตเซอร์แลนด์ที่รัชกาลที่ 5 โปรดปรานมากที่สุด ภายในตกแต่งแบบยุโรปด้วยเครื่องเรือนแบบฝรั่งเศสสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 3 แต่น่าเสียดายเคยเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้จนหมดสิ้น กระทั่งปี 2537 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใหม่ตามแบบฉบับเดิม นอกจากนี้ยังมีหอวิฑูรทัศนาและพระที่นั่งเวหาศจำรูญในรูปแบบของศิลปะจีนอยู่ล้อมสระน้ำ และหมู่พระตำหนักฝ่ายในสไตล์แบบตะวันตกตั้งเรียงรายอยู่ในสวน

มนตราบางปะอิน พระที่นั่งเวหาศจำรูญ

 

นอกจากส่วนต่างๆ ในพระราชวัง แผนที่นับเบอร์ 29 ยังระบุ กระเช้าข้ามวัดนิเวศธรรมประวัติ อำนวยความสะดวกให้ประชาชนได้นั่งกระเช้าไปไหว้พระฝั่งตรงข้ามซึ่งขนานไปกับพระราชวังบางปะอินพอดิบพอดี

วัดนิเวศธรรมประวัติถูกกล่าวถึงด้านสถาปัตยกรรมแบบโกธิกเลียบแบบโบสถ์คริสต์ โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่บำเพ็ญพระราชกุศล เมื่อเสด็จฯ แปรพระราชฐานมาประทับที่พระราชวังบางปะอิน

มนตราบางปะอิน นั่งเรือไปไหว้พระที่วัดเชิงท่า

 

พระอุโบสถมีโดมหอคอยปลายแหลมคล้ายวิหารในสถาปัตยกรรมตะวันตก ภายในโดมบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ด้านหน้าประดับปูนปั้นตราแผ่นดิน และประดับกระจกสีสเตนกลาสเป็นพระบรมสาทิสลักษณ์ของรัชกาลที่ 5 ส่วนด้านในประดิษฐานพระพุทธนฤมลธรรโมภาสเป็นพระประธาน เมื่อดูจากภายนอกจะไม่ทราบเลยว่าเป็นวัดซึ่งมีที่เดียวในประเทศไทยมาตั้งแต่ยุคกลางรัตนโกสินทร์

นอนโฮมสเตย์

ชุมชน ต.เกาะเกิด อ.บางปะอิน กลายเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวโอท็อปวิลเลจเมื่อ 11 ปีที่แล้ว โดยการผลักดันของอดีตผู้ใหญ่บ้าน แม่ลำพูน พรรณไวย ที่ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านมานาน 20 ปีจนเกษียณอายุ วันนี้แม่ลำพูนยังเป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องโฮมสเตย์ในชุมชนอยู่ มีจำนวน 10 หลัง พร้อมกิจกรรมแน่นเอี๊ยด “เข้าบ้านไหนก็มีเรื่องให้ทำ” แม่ลำพูนกล่าว “แต่ละบ้านจะมีอาชีพ ทำนา ทำเกษตร ประมงจับปลา ตกกุ้ง เลี้ยงกบ เป็ด ห่าน ทำขนมไทยทุกชนิด ขนมกง หม้อแกงปิ้งโบราณ สามเกลอ ข้าวเม่าทอด และขนมต้มนี่ของเด็ดประจำตำบลเลย”

มนตราบางปะอิน กุ้งแม่น้ำเผา เมนูยอดฮิตของอยุธยา

 

ส่วนบ้านแม่ลำพูนทำยาเม็ดลูกกลอนสมุนไพร พูดโฆษณาใหญ่ว่าทำจากสมุนไพรแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แถมยังให้ดูแม่เป็นตัวอย่าง แกว่า “แม่อายุ 66 แล้วยังแข็งแรงเหมือนสาว 26” เล่นทำคนฟังหัวเราะร่วนแต่ก็ต้องยอมเห็นด้วยทุกประการเพราะดูมุมไหนก็ไม่เหมือนยายแก่เลยจริงๆ

แม่ลำพูนอธิบายต่อว่า นักท่องเที่ยวมี 2 ประเภท หนึ่ง เป็นพวกมาบ่ายเย็นกลับ คือมาดูวิถีชีวิตชาวเกาะเกิดตามบ้านต่างๆ โดยมีรถรางให้บริการ อุดหนุนสินค้าโอท็อป อาจแวะกินข้าวบ้านแม่ลำพูน จากนั้นก็เดินทางกลับ และอีกกลุ่ม เป็นพวกมาเที่ยงเย็นหลับ คือตั้งใจมานอนโฮมสเตย์ กินที่บ้าน เที่ยวที่บ้าน หรือจะให้เจ้าของบ้านเป็นไกด์พาเที่ยวก็ได้

มนตราบางปะอิน อุโบสถวัดแบบสถาปัตยกรรมตะวันตก

 

“บนเกาะเกิดมีสวนเกษตรสองพันกว่าไร่” แม่ลำพูนเล่า “ถ้าอยากไปเที่ยวพระราชวังบางปะอินก็นั่งเรือไปได้เลย ไม่ต้องไปต่อรถ แล้วเที่ยวเสร็จก็กลับมาไหว้พระที่วัดเชิงท่ากับวัดพยาญาติได้วันเดียว” ชาวเกาะเกิดมักไปสักการะพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์สมัยอยุธยาที่วัดเชิงท่า และชมต้นตะเคียนรัดต้นโพธิ์ขนาดใหญ่เกือบ 7 คนโอบ จากนั้นเหมือนเป็นธรรมเนียมว่าต้องไปสักการะ
หลวงพ่อดำศักดิ์สิทธิ์อายุมากกว่า 300 ปีที่วัดพยาญาติ ที่อยู่ใกล้กัน

2 วัน 1 คืนริมแม่น้ำเจ้าพระยาไม่ได้ทำอะไรมาก ไม่มีโน้ตบุ๊ก ไม่เช็กอีเมล ได้แต่อัพรูปขึ้นเฟซบุ๊กถี่ๆ ให้คนที่ออฟฟิศอิจฉา และ 2 วัน 1 คืนยังทำให้เข้าใจว่า “บางปะอินมีมนตร์ขลัง” ได้อย่างไร มันน่าจะเกิดขึ้นตอนที่สายลมพัดเข้าหน้าผ่านพวงผมแล้ววนอยู่ข้างหู ตอนนั้นรู้สึกได้ว่าบางปะอินกำลังร่ายมนตร์อย่างมีศิลปะแบบไม่ยัดเยียด ไม่บังคับขืนใจ แต่ค่อยๆ ให้เข้าใจและดื่มด่ำด้วยตัวเอง และเหมือนกับว่ามนตร์กำลังออกฤทธิ์ เพราะใจมันอยากไปใช้ชีวิตที่บางปะอิน...ตอนนี้เลย!

มนตราบางปะอิน อุโบสถวัดนิเวศธรรมประวัติแบบโกธิก

 

มนตราบางปะอิน ระเบียงหน้าโฮมสเตย์ติดแม่น้ำเจ้าพระยา

 

ข่าวล่าสุด

Sponge City Tourism เมื่อเมืองเลิกสู้กับน้ำ แล้วหันมา “มาอยู่กับมัน”