ชมพูนุท อิ่มอุดม เปลี่ยนชีวิตไปสร้างฝัน
หลายคนเริ่มรู้สึกเบื่อกับการทำงานประจำ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเมื่อคิดจะออกจากคอมฟอร์ตโซน
โดย...นกขุนทอง
หลายคนเริ่มรู้สึกเบื่อกับการทำงานประจำ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเมื่อคิดจะออกจากคอมฟอร์ตโซน ที่มีเงินเดือนมั่นคง ระบบเวลาลงตัวแล้ว เพราะทำงานในสาขาเดิมมาเป็นสิบปี ที่สำคัญต้องก้าวออกจากสภาพแวดล้อมที่คุ้นชินไปสู่สภาพแวดล้อมใหม่ ผู้คนใหม่ๆ งานใหม่ ซ้ำยังเป็นงานที่ไม่เคยทำมาก่อน ผลลัพธ์จะออกมาเช่นไรก็ไม่มีอะไรมาการันตีได้ นอกจากใช้ “ใจ” ที่ต้องเติมความกล้า ความมุ่งมั่นใส่ลงไปให้มากๆ หน่อย ชีวิตถึงจะ “เปลี่ยน”
เก๋-ชมพูนุท อิ่มอุดม ก้าวข้ามห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของชีวิตมาแล้ว เธอใช้เวลาไตร่ตรองนานนับปี ก่อนที่จะพลิกบทบาทจากผู้บริหารด้านการเงิน มาสู่เจ้าของกิจการ อะลาคอมปาณย์ พัทยา (A La Campagne) ที่ลงทุนกว่า 100 ล้านบาท (ไม่รวมมูลค่าที่ดิน)
แตกต่างด้วยความเป็นตัวเอง
นับตั้งแต่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศึกษาต่อที่ University of Illinois, Urbana Champagn ด้าน Master of Science, Economics (MSPE) กลับมาเมืองไทยก็ทำงานสาขาการเงินที่ธนาคารไทย และทำงานธนาคารต่างชาติอยู่ 10 ปี ด้าน Global Payment and Cash Management ตำแหน่งหน้าที่การงาน ณ ตอนนั้น เรียกว่ามั่นคงและสูงสุดแล้ว ไยชีวิตจะต้องมาเสี่ยงและเริ่มนับหนึ่งใหม่
“มาถึงจุดหนึ่งคิดว่า การทำอาชีพที่เป็นลูกจ้างดีไหม ถ้าเราไม่ซีเรียสทุกวันที่ 25 ของเดือนมีเงินใช้มันก็ดี แต่เรามีฝันๆ หนึ่ง ถ้าเราไม่ทำตอนนี้จะช้าไปหรือเปล่า ในตอนที่คิดทบทวนกับตัวเองนั้น มีเพื่อนที่พัทยา (อรรณพ ชาญเชี่ยววิชัย) ชวนมาเป็นพาร์ตเนอร์ ตอนนั้นคิดเลยเรามาทำสถานที่ให้เราอยู่เองแล้วคนอื่นมาแล้วต้องชอบด้วย ก็มาดูสถานที่ที่พัทยา 45 ไร่ ติดถนนสุขุมวิท
ใครถามก็บอกว่าจะมาเปิดร้านส้มตำ ร้านชาที่พัทยา จริงๆ เรามีไอเดียแต่เราอธิบายภาพทั้งหมดให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้หรอก ก็มีคนทักท้วง แต่ ณ ตอนนี้เราอยู่ในช่วงประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแล้ว ครอบครัวมั่นคง ไม่มีภาระ คือทุกคนอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งเรา ถ้าเราไปไม่รอดที่บ้านก็ไม่ได้เดือดร้อน เราคนตัวเบาอยากทำอะไรก็ลองทำดู เราทำอะไรค่อนข้างตัดสินใจเด็ดขาด ก็ลาออกใช้เวลาเคลียร์งานครึ่งปี ต้องย้ายที่อยู่ ย้ายสังคม เหมือนการเริ่มต้นใหม่ ที่สำคัญคือ ไม่มีประสบการณ์ในการทำอาชีพนี้ แต่เรื่องการเงินเราสู้ตาย เราไม่น้อยหน้าใคร ก็เจอปัญหาเยอะค่ะ อาหารจะจัดซื้อยังไง เราไม่ได้เรียนเกี่ยวกับเรื่องฟู้ด ที่เจออุปสรรคหลักๆ เลยคือเรื่องคน การบริหารคนคืองานยากที่สุด เราคิดว่าบริหารคนมาระดับหนึ่งแต่พอมาเจอคนก็คนละแบบ ระบบงานก็ต่างกัน บางอย่างเราไม่รู้คำตอบแต่ต้องทำให้งานเดินหน้าต่อไปได้”
เมื่อตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางชีวิต หันหลังให้เมืองกรุง ฝันที่ติดค้างในใจก็ค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นด้วยสองมือ “โจทย์แรกที่คิดเลยคือ เราจะทำอะไร ถ้าคนมีเงินเยอะกว่าเรา มีทีมแข็งแกร่งกว่าเราเขาทำแล้วได้ดีกว่าเรา เราก็คงไม่รอด เราต้องทำอะไรที่คนมีพร้อมกว่าเราทำออกมาแล้วไม่เหมือนเรา เราจะทำอะไรได้ดีกว่าคนอื่น เราชอบท่องเที่ยว สะสมของเก่า ชอบการเดินทาง ชอบเรื่องสวน ปลูกต้นไม้ ชอบทานอาหาร ชอบดื่มชา นี่เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ทำไมเราต้องไปไกล เราทำคอนเซ็ปต์ขึ้นมา เราอยากสร้างสถานที่ที่พักผ่อนจริงๆ ลูกค้ามาเที่ยวแล้วได้รีแลกซ์จริงๆ ต้องมีต้นไม้เยอะๆ ร่มรื่น ได้กินอาหารอร่อย ได้ถ่ายรูปสวยๆ ด้วยตอนแรกที่อะลาคอมปาณย์มีต้นไม้แค่ 5 ต้น แต่ตอนนี้เป็นสวนในเวลา 2 ปีที่เริ่มทำกันนั้น ค่อยๆ ปลูก เลือกต้นไม้เอง รดน้ำเอง ปรับสภาพดิน ค่อยๆ สร้างขึ้นมาอย่างที่เราเป็น”
อะลาคอมปาณย์ สถานที่ที่เต็มไปด้วยความฝันของชมพูนุท ซึ่งตั้งใจสร้างขึ้นมาให้นักเที่ยวและนักชิมได้สัมผัสความสวยงามและอรรถรสไปพร้อมๆ กัน จากที่เธอชอบการเดินทางและหลงใหลศิลปะ สนใจในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของสถานที่ที่พบพาน จึงนำความคิดนี้มาเป็นคอนเซ็ปต์หลัก จำลองหมู่บ้านขนาดเล็กๆ ในยุโรปชนบทที่ยังคงความงดงามทางสถาปัตยกรรม และกลิ่นอายของความมีชีวิตชีวา เรียบง่าย จริงใจและเป็นมิตร โดยหวังให้พื้นที่แห่งนี้ เป็นที่คืนความชุ่มชื่นให้แก่ทุกชีวิตที่มาเยือน
“เราทำงานร่วมกับทีมอินทีเรียร์ ของตกแต่งทุกชิ้นเราเลือกซื้อเองหมด ของสะสมของเราเองด้วย เหนื่อยทุกจุด ก่อสร้างเราคุมเอง เรามีวิศวกรแต่ไม่มีโฟร์แมน เราอยู่หน้างาน โชคดีที่พาร์ตเนอร์เขาทำธุรกิจเรียลเอสเตทอยู่แล้ว”
โรงชา พื้นที่แห่งความสุข
ภายในโครงการอะลาคอมปาณย์ มีโซนส้มตำวิลล่า ช็อปแอนด์แกลเลอรี่ ร้านไวน์ และ Tea Factory and More ที่เกิดขึ้นจากความชอบในเรื่อง “ชา” ของชมพูนุท โซนนี้สถาปัตยกรรมจำลองโรงงานผลิตชาแบบย้อนยุคในประเทศศรีลังกา
“ชอบดื่มชาตั้งแต่เด็ก มีอยู่ช่วงหนึ่งไปเที่ยวอินเดีย ในร้านขายชาประมาณ 500 ชนิด นั่งอยู่ที่นั่นนานมาก สิ่งที่เจ้าของร้านเล่าน่าสนใจมาก นับจากนั้นก็ชอบชามาตลอด เป็นสิบปีแล้ว ศึกษาเรื่องชามาตลอดและสะสมด้วย ไม่ว่าจะเดินทางไปไหน ก็จะซื้อทั้งชาและอุปกรณ์เกี่ยวกับชา ตอนนี้ก็เอามาตกแต่งร้านด้วย ก่อนเปิดร้านก็ไปเรียนเกี่ยวกับชาเพิ่มเติม ศึกษาประวัติชาแต่ละประเทศ คาแรกเตอร์ของชา ชาไหนกินร้อนเย็นอร่อย ชิมชา ทดลองเบลนด์ชา เรียนแพร์ริ่งชาแบบนี้เหมาะกับขนมแบบไหน เพราะเรามาทำร้านต้องควบคุมคุณภาพของชา
โชคดีได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ และครูที่มาช่วยกันพัฒนา อย่างล่าสุด ทำน้ำชามา 50 ชนิด ให้เพื่อนๆ ชิม เหมือนทำแรงกิ้ง ทำรีเสิร์ช แบ่งกลุ่มคนชอบดื่มชา ไม่ชอบดื่ม ไม่เคยดื่มชา เอาผลออกมาประมวล เลือกชาเข้าร้าน ทำเหมือนที่เราทำงานธนาคาร เพียงแต่ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนจากเงินมาเป็นชา จาก 50 ชนิด เหลือ 20 ก็คัดที่เราชอบจริงๆ บางตัวเราไม่ได้ชอบมาก แต่ฟีดแบ็กดีมากสำหรับคนไม่ดื่มชาเราก็เลือก เพราะคนไม่ดื่มชาในไทยเยอะมาก เราต้องการให้เขามาเจอเราแล้วชอบ จึงต้องมีชาเบลนด์ เอากลิ่นดอกไม้ ผลไม้มาใส่ด้วย”
เมื่อทำด้วยความชอบ แล้วเลือกทำในสิ่งที่ถนัด รู้จริง การคัดสรรชาเข้าร้านจึงดีที่สุดเพื่อลูกค้า ซึ่งจะทำให้ร้านชาที่นี่แตกต่างจากร้านอื่นๆ
“เราเป็นทีเลิฟเวอร์ และซีเลกเตอร์ คัดสรรชาดีๆ ที่เราชอบ ชาที่นำเข้ามาส่วนใหญ่ปลูกในพื้นที่ซึ่งมีจำนวนจำกัด ปีนี้ปลูกได้แค่นี้ จะมีการเหมาไป เราประมาณการอยากได้เท่าไหร่ คอนเฟิร์มปีนี้เพื่อซื้อของปีหน้า การนำเข้าต้องมีโควตา ร้านชาส่วนใหญ่จึงไม่นิยมเล่นชาซิงเกิ้ลออริจิ้นแบบเรา เพราะมีความไม่แน่นอน แต่ถ้าเป็นชาเบลนด์ ยังสามารถหาตัวช่วยได้ คนที่มาที่นี่มาดื่มแล้วไม่ได้เจอชาแบบที่เขาเคยเจอ เพราะชาแต่ละตัวคาแรกเตอร์เขาชัดเจน เรามองว่าชาเหมือนผู้หญิงน่าสนใจ น่าค้นหา เข้าไปลึกๆ มีอะไรให้เราค้นหาอีกมากมาย และแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่เราแตกต่างคือคาแรกเตอร์ของเรา เราเซอร์วิสเองอยู่ร้านเกือบทุกวัน ทำอันนี้ฟูลไทม์ อธิบายเอง ถือใบชามาต้มให้ลูกค้าเอง ให้สูตรไปชงชาที่ทำได้ใกล้เคียงกับร้าน คุณเข้ามา
น่าจะสัมผัสได้ถึงคาแรกเตอร์ของร้าน เราได้ฟีดแบ็กมาส่วนใหญ่คนไม่ชอบชามาแล้วชอบ ส่วนคนที่ชอบชาที่นี่เหมือนเป็นอีกโลกหนึ่งของเขาที่ได้เจอชาที่ไม่เคยดื่มมาก่อน นี่คือประสบการณ์ของเรา ที่อื่นอาจหาชาได้ดีกว่าแพงกว่าแต่ไม่เหมือนเราแน่นอน เพราะนี่คือตัวเรา ของสะสมของเรา แค่กระดาษรองแก้วก็ปั๊มมือเอง”
ไม่เพียงแค่นี้ ชมพูนุทยังใช้พื้นที่บางสวนปลูกผัก และเลี้ยงไก่ไข่ด้วย ซึ่งเธอยังยึดกฎเดิม ทำอะไรต้องรู้จริง ต้องทำเป็น ด้วยการเข้าคอร์สเรียนเกษตรธรรมชาติ ที่โครงการพัฒนาพื้นที่วัดญาณสังวราราม อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
“เรียนผสมปุ๋ยหลายแบบ ทำน้ำหมัก ลงแปลง วิธีการทำดิน วิธีคลุมพลาสติก หยอดเมล็ด เพื่อเอามาใช้ในโครงการของเรา ปลูกผัก 3 ไร่ เลี้ยงไก่แบบอิสระ 800 ตารางเมตร มี 200 ตัว ให้เขาได้เดิน ไก่มีความสุขก็ได้ไข่ที่มีคุณภาพ ปลูกผักที่ใช้ในร้าน เช่น ถั่ว บวบ พริก ลูกมะเดื่อฝรั่ง แคนตาลูป ให้พนักงานเขาได้กินผักปลอดสารด้วย ที่คิดปลูกผักเพราะผักบางอย่างหาซัพพลายเออร์ที่เป็นเกษตรธรรมชาติยากมาก หรือมีผลผลิตก็คอนโทรลไม่ได้ เรามีที่อยู่แล้วก็ทำเองซะเลย ตอนนี้ยังเริ่มต้น ทำเป็นโมเดลปลูกดูก่อน ต่อไปทำจริงจัง อาจเป็นพาร์ตหนึ่งเพราะเป็นสิ่งที่เรารักอีกหนึ่งอย่าง”
แม้เธอจะบอกว่าเหนื่อยกับทุกๆ จุด แต่มองไปรอบๆ อาณาจักรที่เธอบรรจงสร้างขึ้นก็มีความสุข “ลุ้นมากว่าต้นไม้จะตายไหม พนักงานกลับหมดห้าโมงเย็นลากสายยางมารดน้ำเอง เห็นต้นชมพู่ม่าเหมี่ยวออกลูกดีใจมาก มองไปรอบๆ มันคือสิ่งที่เราสร้างทุกอย่างนี่คือความสุขแรก ความสุขที่สองเห็นลูกค้ามาแล้วเขาชอบ เขามีความสุข คนพัทยาเองมาก็ชอบบอกว่าดีใจที่พัทยามีสถานที่แบบนี้
ตั้งแต่เปิดมาเศรษฐกิจตก เราไม่ได้คิดว่าจะรวยจากตรงนี้ เราทำเพราะมีความสุข ไม่ซีเรียสกับเศรษฐกิจ การลงทุนถ้าเราประเมินว่าจะคุ้มทุนไหม ไม่คุ้มแน่นอน มูลค่าที่ดินเอามาทำร้านอาหารสามร้าน มีต้นไม้เต็มไปหมด แต่นี่คือสิ่งที่เราอยากทำ เราอยากทำสวน และโชคดีที่มีคนชอบ แต่ว่าในอนาคตน่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะถ้าเราพยายามทำอะไรแล้วอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้ ความชอบเราจะกลายเป็นความเครียดของเรา ต้องอยู่บนโลกของความจริง ไม่ใช่หยอดเงินทุกเดือน เราต้องปรับให้ทำไงอยู่ได้ ให้ลูกค้ามาเยอะกว่านี้ เชิงบิซิเนสเราต้องทำ แต่ถ้าให้มาล้มสวนเพิ่มโต๊ะ เราไม่ทำแน่นอน เพราะสวนคือจุดแรกของเรา ต่อให้โครงการโตขนาดไหนก็ตามพื้นที่สวนก็จะเก็บไว้ เราต้องสร้างอะไรให้อยู่กับธรรมชาติให้ได้”
นี่คือธุรกิจที่เกิดขึ้นจากความรัก เธอกล้าที่จะทำมัน และเมื่อทำอย่างสุดหัวใจ สิ่งที่เห็นทุกๆ อย่างในโครงการอะลาคอมปาณย์ พัทยา จึงอบอวลไปด้วยรายละเอียดของความสุข ที่ใครได้มาจะสัมผัสได้


