ปิดเกาะตาชัย จุดเปลี่ยนท่องเที่ยวไทย
เมื่อก่อนการท่องเที่ยวถือเป็นกระแสหลักของบ้านเรา เพราะการท่องเที่ยวนำรายได้มหาศาลเข้าประเทศชาติ จนอะไรต่อมิอะไรก็ต้องเปิดทางให้การท่องเที่ยว
โดย...ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
เมื่อก่อนการท่องเที่ยวถือเป็นกระแสหลักของบ้านเรา เพราะการท่องเที่ยวนำรายได้มหาศาลเข้าประเทศชาติ จนอะไรต่อมิอะไรก็ต้องเปิดทางให้การท่องเที่ยว
แต่ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา กระแสสังคมเริ่มพลิกกลับ แม้การท่องเที่ยวจะยิ่งทวีความสำคัญจนเป็นรายได้เกือบ 20% ของจีดีพี แต่คนไทยเริ่มรู้สึกว่าเราเสียอะไรไปหรือเปล่า? จนมาถึงเดือน มี.ค. 2558 เมื่อเกิดกรณี “เกาะตาชัย” ที่ควรจะเป็นเขตสงวนตามแผนแม่บทของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน กลับมีนักท่องเที่ยวแห่กันไปเที่ยวกันจนทำให้ปะการังเสียหาย
หลังจากนั้นเป็นต้นมา กรณีต่างๆ ที่เกิดในอุทยานและการท่องเที่ยว กลายเป็นจุดสนใจตลอดแบบไม่มีตกกระแส ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายได้อุทยานที่พอเริ่มเก็บจริงจัง ได้เพิ่มมาหลายร้อยล้านบาท (เฉพาะพีพี อ่าวพังงา และสิมิลัน ได้เพิ่ม 700 ล้านบาทใน 7 เดือนเศษ) กรณีที่นักท่องเที่ยวทั้งต่างชาติทั้งไทยทำเรื่องไม่สมควรทำ จนถึงการเรียกร้องให้เกิดการอนุรักษ์ที่ยั่งยืน มิใช่ยินยอมให้การท่องเที่ยว “แตะต้องไม่ได้” เหมือนเช่นอดีต
กระแสดังกล่าวสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม เริ่มจาก “พีพีโมเดล” ที่สร้างความหวังให้ทั้งคนรักธรรมชาติ นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ และผู้เกี่ยวข้อง จนกลายเป็นผลงานสำคัญที่รัฐบาลกล่าวถึง ตามด้วยกรณีปะการังฟอกขาวที่อาจนำมาซึ่งการปิด “จุดดำน้ำ” 40 แห่ง ตามเกาะต่างๆ ทั่วประเทศไทย
กรณีเกาะตาชัยกลับมาสู่ความสนใจอีกครั้ง เมื่อกรมอุทยานฯ ประกาศ “ปิดเกาะตาชัยแบบไม่มีกำหนด” แม้ทุกคนทราบดีว่าเกาะตาชัยเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ คนไทยแทบทุกคนรู้จักเกาะกลางทะเลแห่งนี้ อีกทั้งยังมีนักท่องเที่ยวต่างชาติไปมากมาย การปิดย่อมส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่กรมอุทยานฯ เลือกที่จะ “รักษา” ทรัพยากรไว้ให้เป็นไปตามหลักการทางวิชาการ
นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่กรมอุทยานฯ เลือกที่จะ “รักษา” นำหน้า “ท่องเที่ยว” และการก้าวไปข้างหน้าครั้งนี้ อาจจะหมายถึงย่างก้าวต่อไป เมื่อกรมอุทยานฯ กำลังพิจารณาการปิดแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลอีกหลายแห่งที่กำลังเสี่ยงต่อภาวะปะการังฟอกขาว
กระแสยังดำเนินต่อเนื่องไปถึงแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่นอกเขตอุทยาน เช่น เกาะไข่ จ.พังงา ที่มีปัญหาด้านการท่องเที่ยว จนล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ส่งทีมงานลงไปสำรวจและพบการทิ้งสมอตลอดจนการจับสัตว์น้ำจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ (อ้างอิง เดลินิวส์ 15 พ.ค. 2559) กรมทรัพยากรทางทะเลฯ จึงเรียกประชุมเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้
ยังหมายถึงปัญหาของเกาะอื่นๆ เช่น เกาะแสมสาร ที่มีนักดำน้ำกล่าวถึงความเสียหายในแนวปะการัง ทำให้หน่วยงานรับผิดชอบต้องเริ่มมีการขยับตัวในการจัดการให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ และสอดคล้องกับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
ปัญหาสำคัญคือทรัพยากรในแหล่งท่องเที่ยวของเราทรุดโทรมอย่างมาก การแก้จึงต้องใช้ยาแรง เช่น การปิดเกาะเพื่อล้างไพ่เริ่มต้นกันใหม่ แน่นอนว่านอกจากส่งผลต่อการท่องเที่ยว ยังส่งผลต่อแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลแห่งอื่นที่อาจต้องรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวของเราไม่ได้ลดลง มีแต่มากขึ้น การจัดการในพื้นที่เหล่านั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่ง มิฉะนั้นเราจะเกิดการปิดเกาะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนแทบหมด
สุดท้ายคือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องการท่องเที่ยวโดยตรง ที่มีเสียงเรียกร้องให้เดินหน้าในเรื่องการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนแบบเห็นผลเป็นรูปธรรมบ้าง ซึ่งผมก็หวังว่าจะเกิดความชัดเจนในเร็ววัน เพราะกระแสทั้งในโลกและในประเทศเปลี่ยนไป แนวทางเดิมอาจเริ่มใช้ไม่ได้ผล
จุดเปลี่ยนสำคัญกำลังเกิด การอนุรักษ์กำลังเริ่ม “แข็งขืน” ต่อการท่องเที่ยว แต่สุดท้ายเราต้องหาจุดสมดุลที่จะอยู่ร่วมกันได้ เราลองมาติดตามประเด็นนี้กันต่อว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างไรให้ประเทศไทยของเราครับ


