ประติมากรรมโครงเหล็ก บรรเจิด เหล็กคง เฉิดฉายสู่นิวยอร์ก
ในช่วงก่อนสงกรานต์ ซึ่งกรุงเทพฯ กำลังปลอดโปร่งด้วยผู้คนและรถรา ในวันที่ 11-12 เม.ย.ที่ผ่านพ้นไป
โดย...เพรงเทพ ภาพ lekkong.com / agora-gallery.com
ในช่วงก่อนสงกรานต์ ซึ่งกรุงเทพฯ กำลังปลอดโปร่งด้วยผู้คนและรถรา ในวันที่ 11-12 เม.ย.ที่ผ่านพ้นไป ณ ไลฟ์สไตล์ ฮอลล์ ชั้น 2 สยามพารากอน มีการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของวงการศิลปะร่วมสมัยของไทย เมื่อมีการจัดงานแสดงประติมากรรมโครงเหล็ก “เหล็กคง” (Fine Art Metal) หรือเหล็กพลิ้ว ของ บรรเจิด เหล็กคง
ผลงานประติมากรรมที่จัดแสดงผนวกกับการจัดวางแสงเงาตกกระทบดูขรึมขลัง แม้จะอยู่ในห้างสรรพสินค้าที่ผู้คนขวักไขว่ แต่พลังของชิ้นงานแต่ละชิ้นได้สะท้อนเอกลักษณ์ที่พลิ้วไหวของศิลปะที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวรรณคดีไทย ออกมาให้เพ่งพิศพิจารณาถึงความงามของประติมากรรมโครงเหล็กที่ไม่ใช่เหล็กธรรมดาอีกต่อไป
คนไทยโชคดีที่ได้มีโอกาสยลโฉมงานชุดนี้ก่อน แม้จะเป็นเวลาแค่ 2 วันก็ตาม เพราะ บรรเจิด เหล็กคง ศิลปินไทยเจ้าของงานได้รับเชิญให้นำงานไปจัดแสดงที่ อโกรา แกลเลอรี่ มหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งถือว่าเป็นหอศิลป์สมัยใหม่ติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก ระหว่างวันที่ 20 พ.ค.-9 มิ.ย.นี้ ซึ่งเป็นการจัดแสดงผลงานเดี่ยวครั้งแรกในชีวิตอย่างเป็นทางการในชื่อนิทรรศการว่า “Banjerd Lekkong a Solo Exhibition – Metamorphosis”
โดยผลงานจำนวน 15 ชิ้นงานที่ถูกนำไปจัดแสดง ได้แก่ ทศกัณฐ์ท่ายืนสู้รบและท่านั่งเจรจา, สิงห์, หนุมานไทยและหนุมานบาหลีหยอกเย้า, หนุมานสู้รบกับวิรุณจัมบัง, หนุมาน (ใหญ่เท่าคนจริง), หนุมานหาวเป็นดาวเดือน, 11 พญาวานร ต่อกายเป็นช้าง 3 เศียรเดินสะบัดงวง, มวยไทย, ฤๅษีนารอด, เศียรพระพิฆเนศ, องค์พระพิฆเนศ 16 กร, พระรามแผลงศร และนกฮูกขย้ำดวงจันทร์ นกอินทรีขย้ำพระอาทิตย์
สำหรับแนวคิดและแรงบันดาลใจของประติมากรรมโครงเหล็กในแต่ละชิ้น อย่าง “พระรามแผลงศร” หนึ่งในตัวละครจากวรรณคดีรามเกียรติ์ ซึ่งเป็นตัวเอกของฝ่ายธรรมะ และเป็นชิ้นงานในยุคแรกของบรรเจิด เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางการสร้างผลงาน
“องค์พระพิฆเนศ 16 กร” ด้วยความนับถือในองค์พระพิฆเนศ จึงเริ่มสร้างงานชิ้นนี้ขึ้นมา และต้องการให้มีลักษณะเฉพาะตัวของชิ้นงาน จึงสร้างให้องค์พระพิฆเนศมี 16 กร พร้อมอาวุธครบมือ ซึ่งสื่อถึงชัยชนะ
“หนุมานสู้รบกับวิรุณจำบัง” บรรเจิดเขียนบรรยายว่า เริ่มจากการได้ไปดูการแสดงโขนเรื่องศึกวิรุณจำบัง ณ โรงละครแห่งชาติ ซึ่งมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมทรงดนตรีอยู่ด้วย จึงเกิดความประทับใจและอยากบันทึกลงมาเป็นชิ้นงานสองตัวละครเอกในเรื่องนี้
“หนุมานไทยหยอกเย้าหนุมานบาหลี” เขาบรรยายว่า ความแตกต่างในรูปแบบวัฒนธรรมของสองลิง แต่มีที่มาจากเรื่องรามเกียรติ์เหมือนกัน แสดงให้เห็นว่าแม้จะต่างที่มา ต่างความเชื่อ ต่างชาติ ต่างภาษา แต่สามารถหลอมรวมและผสานกันจนเกิดงานศิลปะชิ้นหนึ่งได้
“ทศกัณฐ์นั่งเจรจา” แรงบันดาลใจจากการได้ไปเห็นจิตรกรรมฝาผนังที่วัดพระแก้ว และบังเอิญสะดุดตากับอิริยาบถท่านั่งของทศกัณฐ์ จึงเกิดเป็นผลงานชิ้นนี้
“11 พญาวานรต่อกายเป็นช้างสามเศียร” ยุคที่บ้านเมืองเริ่มมีความแตกต่างทางความคิด เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวกจนกลายเป็นกลียุค แต่เรายังมีความหวังว่าจะมีผู้เข้มแข็งดั่งวานรที่จะรวมตัวกันสร้างความยิ่งใหญ่ เปรียบดังช้างสามเศียรที่จะพาประเทศชาติไปในทิศทางที่ถูกต้อง
“ต่างกาล ต่างวาระ” ไม่มีใครเก่งเสมอไป ขึ้นอยู่กับความสามารถของพรสวรรค์ที่มีอยู่ ใช้การเปรียบเทียบเหมือนนกอินทรีโฉบขย้ำพระอาทิตย์ คู่กับนกโฉบขย้ำพระจันทร์ ความเป็นเจ้าเวหาที่ต่างกาลเวลา
“มวยไทยหญิง” มวยไทยหญิงเป็นชื่อยุทธวิธีการจู่โจม มีชื่อว่าหนุมานเหยียบกรุงลงกา โดยแต่งกายแบบผู้หญิงสมัยโบราณ เน้นทรวดทรงสรีระของความเป็นผู้หญิง
บรรเจิด เหล็กคง มีภูมิลำเนาและเกิดที่ อ.พิมาย จ.นครราชสีมา เติบโตขึ้นมาในบ้านที่เป็นอู่ซ่อมรถของบิดา ทำให้เขาคุ้นเคยกับเหล็กและเครื่องยนต์ซึมซาบเข้าไปอย่างไม่รู้ตัว ผนวกกับสภาพแวดล้อมในอำเภอมีวัดวาที่สร้างอย่างวิจิตรแบบอีสาน รวมถึงมรดกอารยธรรมของปราสาทหินพิมายที่เห็นมาตั้งแต่เด็ก ได้หล่อหลอมศิลปะในตัวเขาขึ้นมา และได้ร่ำเรียนในคณะสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน นครราชสีมา สิ่งเหล่านี้จึงหล่อหลอมแนวทางในการทำงานศิลปะของเขา
ความยากในงานประติมากรรมจากเหล็ก คือ การนำเหล็กที่แข็งแกร่งมาทำให้อ่อนช้อย และการควบคุมองค์ประกอบทั้งหลายภายใต้การใช้สีของโลหะเพียงสีเดียว บรรเจิดได้ใช้วิธีการขับเน้นสีหน้า ท่าทาง และบุคลิกในการสื่ออารมณ์ โดยผ่านการสเกตช์นับครั้งไม่ถ้วน จนมีสีหน้าท่าทางที่สามารถมองออกตั้งแต่แรกเห็น การใช้ศาสตร์และศิลป์ในการประยุกต์นำเอาเศษโลหะ อย่างเช่น ชิ้นนอต สกรู เหล็ก เฟือง และลูกปืน นำมาสร้างคุณค่าและความหมายใหม่ ให้เป็นมากกว่าแค่งานประติมากรรมเหล็กธรรมดา แต่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณของความเป็นไทย
ว่าไปแล้วเป็นการยากมากที่จะได้รับเชิญไปจัดแสดงที่หอศิลป์ระดับโลก อย่าง อโกรา แกลเลอรี่ ซึ่งเป็นที่รู้จักในแวดวงศิลปินและนักสะสมมาอย่างยาวนาน จุดเด่นของแกลเลอรี่แห่งนี้คือการทำหน้าที่มากกว่าแค่บริการพื้นที่ในการจัดแสดงผลงาน แต่ยังทำหน้าที่คัดเลือกผลงานจากศิลปิน โดยวัดจากทักษะความสามารถและมุมมองเป็นหลัก และช่วยทำหน้าที่เสมือนพี่เลี้ยงที่คอยให้คำแนะนำ ทั้งด้านการผลิตผลงานโดยดึงเอาจุดเด่นของแต่ละสายอาชีพผสมเข้าไปเพื่อให้ชิ้นงานมีเอกลักษณ์ขึ้น โดยแกลเลอรี่ที่มีความชำนาญในการสร้างธีมการจัดแสดงผลงาน มีวิธีเลือกผลงานของศิลปินอย่างละเอียด เพื่อให้ผลงานสามารถสื่อความหมายภายใต้คอนเซ็ปต์ที่ถูกจัดขึ้นได้อย่างน่าสนใจที่สุด
ครั้งนี้คงเป็นหมุดหมายที่สำคัญของศิลปินไทยและประวัติศาสตร์ศิลปะร่วมสมัยของไทย ที่ศิลปินแนวประติมากรรมโครงเหล็กสามารถนำผลงานไปจัดแสดงในหอศิลป์ร่วมสมัยระดับท็อปของโลกได้ และโคลงสี่สุภาพที่มีชื่อว่า "บรรเจิด เหล็กคง" ที่แต่งโดยเพื่อนของบรรเจิดที่มีชื่อว่า พี่ตึ๋ง เพื่อนเขาใหญ่ คงบ่งบอกถึงตัวตนในการทำงานศิลปะประติมากรรมเหล็กของเขาได้เป็นอย่างดี
“บรร-จงจิตรนิรมิตร เจียรนัย
เจิด-จ้าประกายพราย เสกสร้าง
เหล็ก-แท้แร่ธาตุไท้ แกร่งรูป เกิดร่าง
คง-ทิพย์ศิลป์ไทยให้ เลิศค่า เหล็กคง”


