คุณธรรมในความรักของ เอี้ยนอิง เสนาบดีคนตรง
รักถูกจารึกไว้ในทุกวัฒนธรรม เพราะรักคือหนึ่งในอารมณ์ของมนุษย์ทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ในวัฒนธรรมจีน
โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์
รักถูกจารึกไว้ในทุกวัฒนธรรม เพราะรักคือหนึ่งในอารมณ์ของมนุษย์ทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ในวัฒนธรรมจีนซึ่งได้ชื่อว่าไม่ค่อยแสดงออกเรื่องความรัก...
ความรักคือศักยภาพของมนุษย์ที่ธรรมชาติให้มา เหมือนที่พ่อแม่ย่อมรักลูก หรือลูกย่อมรักพ่อแม่เป็นพื้นฐาน
ความรักเช่นนี้สามารถขยายต่อไปได้เรื่อยๆ เมื่อลูกรักพ่อแม่ และพ่อแม่ก็รักปู่ย่าตายาย ลูกย่อมมีความรักขยายไปให้กับปู่ย่าตายายได้
เมื่อพ่อแม่รักลูก ก็ย่อมรักลูกของลูก... ลูกรักพี่น้อง ก็ย่อมรักญาติไปด้วย จนกระจายไปถึงเพื่อนๆ ของญาติ ถึงเพื่อนบ้าน และถึงคนในสังคมต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ได้
รักเช่นนี้มีลำดับขั้น เรารักคนใกล้มากกว่าคนไกล แม้รักไม่เท่ากันก็นับเป็นเรื่องปกติ เป็นธรรมชาติ สิ่งที่คนจักต้องทำคือ แผ่ขยายความรักอย่างนี้สู่สมาชิกสังคมที่อยู่ห่างไกลออกไป แม้คนที่ไกลแสนไกลกับเราก็ยังมีรักจางๆ มอบให้ แล้วสังคมจะสงบสุข
นี่คือรักในทัศนคติของแนวคิดสายขงจื๊อ ซึ่งเป็นปรัชญาสายหลักของวัฒนธรรมจีน เป็นทางการ เป็นทฤษฎี เป็นบทเรียนเรื่องคุณธรรมจริยธรรม อาจไม่คล้ายรักแบบวาเลนไทน์ของคู่ชายหญิง
เป็นไปได้ไหมว่าคนในยุคนั้น (ขงจื๊อ-อยู่ในสมัยประมาณ 2,500 ปีมาแล้ว) ยังไม่รู้จักรักแบบโรแมนติก หรือรักแบบเทิดทูนที่ผู้คนยุคหลังนี้ตั้งเป้าและเฝ้าฝันเป็นเจ้าของ?
ที่จริงจะว่ากันไป เรื่องของรักเทิดทูนของฝรั่งก็เพิ่งเริ่มเกิดขึ้นเมื่อช่วงยุคกลางประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 5 นี้เอง และอันที่จริงตำนานเกี่ยวกับนักบุญวาเลนไทน์ก็ไม่เกี่ยวกับรักเทิดทูน หรือรักโรแมนติกแต่อย่างใด แถมจากหลักฐานที่พอสืบค้นได้ นักบุญวาเลนไทน์ก็ยังมีหลายคน หลายเรื่องเล่า ไม่ชัดเจนนักว่าวันวาเลนไทน์เลือกที่จะฉลองกับนักบุญวาเลนไทน์คนไหน
แท้จริงก็คือ ผู้คนและกระแสสังคมสมัยนั้นร่วมสร้างเทศกาลตอบสนองกระแสรักแบบใหม่ที่เพิ่งเกิดกันขึ้นมาเอง มนุษยชาติจึงเพิ่งเริ่มหัดรักโรแมนติกเอาเมื่อไม่นานมานี้
สำหรับจีนเมื่อกว่าสองพันกว่าปีที่แล้ว ท่ามกลางวัฒนธรรมคลุมถุงชน ผัวเดียวเมียเดียวแต่หลายนางกำนัล หนุ่มๆ คงเข้าใจพิชัยสงครามซุนวู มากกว่านิยายโรแมนติกแบบโรมิโอกับจูเลียต หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะพวกนักปราชญ์นักบันทึกเรื่องราวต่างๆ บันทึกเอาไว้เมื่อตอนลืมเลือนความรักในวัยหนุ่มไปเรียบร้อยแล้ว
หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะสังคมยังไม่ให้ความสำคัญกับเพศหญิง เห็นเป็นเพียงทรัพย์สินหนึ่งของเพศชาย
จนคิดไปได้ว่าการเป็นคู่รักแบบที่เรารู้จักกันในยุคนี้ ไม่เคยมีอยู่ในยุคนั้นเลย
แต่ทุกอย่างมีข้อยกเว้น มีบันทึกเรื่องราวของรัฐบุรุษร่วมยุคกับขงจื๊อท่านหนึ่งยังพอทำให้เราเห็นประกายรักที่หลายคนใฝ่หาในปัจจุบัน
เอี้ยนอิง อัครเสนาบดีคนสำคัญของแคว้นฉี มีอำนาจบารมีมากมาย เอี้ยนอิงขึ้นชื่อเรื่องสมถะมัธยัสถ์ รักประชาชน แถมยังเป็นคนพูดตรง ฝีปากกล้า ครบถ้วนคุณสมบัติขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ จะติดอยู่หน่อยก็คือ อัครเสนาบดีเอี้ยนอิง ตัวสูงแค่เมตรนิดๆ พูดอย่างเกรงใจคือสันทัด พูดไม่เกรงใจคือเตี้ยต่ำไร้ราศี
อย่างไรก็ตาม ความเตี้ยของเอี้ยนอิงไม่เคยทำให้เขารู้สึกด้อยไปกว่าใคร ซึ่งนั่นเป็นเพราะเขามีดี
ความดี ความตรง และฝีมือ คือเสน่ห์ของอัครเสนบดีเอี้ยนอิง เอี้ยนอิงได้รับใช้กษัตริย์แคว้นฉีถึง 3 สมัย อีกทั้งเป็นที่รักของประชาชน
ฉีจิ่งกง กษัตริย์แห่งแคว้นฉีให้ความสำคัญกับเอี้ยนอิงมาก ถึงกับคิดจะยกลูกสาวคนโปรดให้เอี้ยนอิง ลูกสาวคนโปรดนี้ทั้งขาวทั้งสาวทั้งสวย ส่วนเอี้ยนอิงในตอนนั้นอายุไม่ใช่น้อย ฉีจิ่งกงคิดว่าเอี้ยนอิงคงดีใจเป็นแน่แท้
วันหนึ่ง ฉีจิ่งกงเดินทางมาเยี่ยมเอี้ยนอิงถึงบ้าน ครอบครัวเอี้ยนอิงอยู่อาศัยอย่างสมถะ ไม่ได้เลิศหรู มีแต่สุราและสำรับอาหารง่ายๆ เมื่อดื่มกันกรึ่มได้ที่ ฉีจิ่งกงสนทนาเปิดเกมกับเอี้ยนอิงว่า
“คนเมื่อตะกี้นี่ คือภรรยาของท่านรึ?”
“ใช่แล้ว ฝ่าบาท” เอี้ยนอิงตอบ
ฉีจิ่งกงจึงหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “เฮ้ย ทั้งแก่ทั้งเหี่ยวทั้งอัปลักษณ์จริง!”
เอี้ยนอิงชำเลืองมอง รอฟังประโยคถัดไป
“เอาอย่างนี้ ข้ามีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง ทั้งสวยทั้งสาว ยังไงข้ายกให้แต่งเป็นเมียท่านน่าจะดีกว่า” ฉีจิ่งกงกระหยิ่มยิ้มย่องยื่นข้อเสนอ
เอี้ยนอิงลุกขึ้นจากที่นั่ง โค้งตอบอย่างสุภาพด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“ในวันนี้ภรรยากระหม่อมทั้งแก่และอัปลักษณ์ แต่กระหม่อมกับภรรยาอยู่กินด้วยกันมานาน ซึ่งแน่นอนได้ผ่านวันเวลาที่ภรรยาของกระหม่อมยังสาวยังสวย”
ฉีจิ่งกงยิ้มค้าง
“อีกทั้งเมื่อตัดสินใจเริ่มชีวิตคู่ฉันสามีภรรยาก็หวังจะดูแลกันตั้งแต่หนุ่มสาวไปจนถึงแก่เฒ่า ดูแลตั้งแต่ยังองอาจสวยงามจนถึงยามค่อมยามเหี่ยว”
“เมื่อตอนภรรยาข้าพเจ้ายังสาวยินดีตัดสินใจฝากฝังทั้งชีวิตไว้กับกระหม่อม กระหม่อมก็ตกลงใจให้เธอฝากฝัง ผ่านชีวิตด้วยกันมานาน เมื่อถึงวันที่เธอโรยรา แม้ฝ่าบาทมีเจตนาดีอยากจะให้ลูกสาวแต่งกับกระหม่อม แต่กระหม่อมจะใช้เหตุนี้มาหักหาญเรื่องที่เธอฝากฝังชีวิตไว้กับกระหม่อมได้อย่างไร?”
หลังจากพูดคำตรง เอี้ยนอิงก็สรุปจบด้วยความสุภาพ
“กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาท แต่ไม่อาจตอบรับน้ำพระทัยนี้ได้”
ฉีจิ่งกงหุบยิ้มโดยบริบูรณ์ พร้อมกลืนน้ำลายเสียดายคำพูด ที่คิดว่าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาจะทำให้บทสนทนากับชายชรากระปรี้กระเปร่า ใครที่ไหนก็น่าจะอยากเด่นอยากดังอยากได้เมียสวย ที่ไหนได้เอี้ยนอิงตอบอย่างจริงจังและหนักแน่น จึงไม่กล้าปริปากอีกต่อไป หลังจากนั้นฉีจิ่งกงไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องจะหาสาวให้เอี้ยนอิงอีกเลย
ประวัติศาสตร์บันทึกบทสนทนานี้ไว้อย่างชัดเจน และเอี้ยนอิงก็ทำได้จริงตามคำพูด อยู่อย่างสมถะกับภรรยาจนถึงบั้นปลาย
ในบรรดารัฐบุรุษจีนยุค 2,500 ปีก่อนทั้งหลาย น้อยครั้งที่จะเห็นใครที่ได้รับการเอ่ยถึงภรรยาด้วยความรู้สึกเช่นนี้ โดยเฉพาะกับผู้ที่ประสบความสำเร็จทางโลก มีอำนาจบารมีมากมาย
และแม้ผ่าน 2,500 ปีถัดมามีคนจำนวนมากพูดจาถึงความรักที่ซื่อสัตย์และหวานจ๋อย ส่วนคนพูดจะทำได้จริงหรือไม่นั้น ยังต้องดูเป็นรายๆ ไป
ความรู้สึกนึกคิดเรื่องชีวิตคู่และความรักของอัครเสนาบดีเอี้ยนอิงสะกิดให้เราได้รู้ว่า ชีวิตรักไม่ได้อยู่กันแค่ด้วยความรักหวานฉ่ำเท่านั้น และเมื่อผ่านวันเวลาของคู่รัก ในยามที่ทุกอย่างโรยราและเปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่จะยึดชีวิตรักไว้คือความทรงจำในความรู้สึกของวันที่เริ่มชีวิตคู่ การใส่ใจในความรู้สึกของคู่ครองอยู่เสมอ และความรู้จักพอ และนั่นก็คือคุณธรรมในความรัก


