ฮิเดยูกิ ไซโต เมืองไทยให้โอกาสที่ดีในอาชีพ
หนุ่มญี่ปุ่นมาดขรึมพูดน้อยวัย 28 ปี จากเมืองนาโกยา ผู้จัดการบาร์และมิกโซโลจิสต์ประจำโว้ก เลานจ์
โดย...ภาดนุ ภาพ ภัทรชัย ปรีชาพานิช
หนุ่มญี่ปุ่นมาดขรึมพูดน้อยวัย 28 ปี จากเมืองนาโกยา ผู้จัดการบาร์และมิกโซโลจิสต์ประจำโว้ก เลานจ์ เป็นหนุ่มต่างชาติอีกคนที่มาลงหลักปักฐานทำงานอยู่ในเมืองไทย เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขารู้สึกประทับใจ
“ครอบครัวผมทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่ม ผมจึงเติบโตมาพร้อมกับซึมซับความชอบในอาชีพบาร์เทนเดอร์ไว้ในตัว และยังชอบทดลองทำค็อกเทลใหม่ๆ อยู่เสมอ ผมเริ่มทำงานครั้งแรกโดยเป็นผู้จัดการบาร์ที่ร้านอาหารอิตาเลียนแห่งหนึ่งในโตเกียว จากนั้นในปี 2012 ผมได้ออกมาหาประสบการณ์ชีวิตด้วยการไปเป็นบาร์เทนเดอร์ในผับและบาร์หลายแห่งในลอนดอน ต่อมาในปี 2014 ผมมีโอกาสได้ไปเป็นบาร์เทนเดอร์ให้กับร้านแองเจิลส์ แชร์ ซึ่งเป็นบาร์ชื่อดังในนิวยอร์ก กระทั่งปลายปี 2014 จึงมาเป็นผู้จัดการบาร์ที่ โว้ก เลานจ์ กรุงเทพฯ จนถึงปัจจุบันนี้”
ฮิเดยูกิ บอกว่า เมืองใหญ่ๆ แต่ละเมืองที่เขาไปอยู่นั้น ล้วนเป็นเมืองที่มีสไตล์และมีเสน่ห์แตกต่างกันไป ที่เขาเลือกมาทำงานที่กรุงเทพฯ นอกจากได้รับโอกาสที่ดีแล้ว โดยส่วนตัวเขายังชื่นชอบวัฒนธรรมไทยด้วย เพราะไทยเป็นหนึ่งในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ผู้คนมีวิถีชีวิตสบายๆ และมีความสุข
“หน้าที่หลักของผมที่ โว้ก เลานจ์ ก็คือดูแลในส่วนของบาร์ทั้งหมด พร้อมทั้งทำหน้าที่บาร์เทนเดอร์ไปด้วย เมื่อปลายปีที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้เข้าแข่งขันทำค็อกเทลในแคมเปญ ‘บาคาร์ดี เลกาซี่ ค็อกเทล คอมเพททิชั่น’” และติด 1 ใน 5 ผู้เข้ารอบรองสุดท้าย ซึ่งจะมีการตัดสินและประกาศผลผู้ชนะในเดือน ก.พ.นี้ ผมก็แอบลุ้นอยู่เหมือนกัน ตอนนี้ผมจึงได้รับมอบหมายจาก โว้ก เลานจ์ ให้เป็นมิกโซโลจิสต์ไปโดยปริยาย และมีหน้าที่ในการคิดค้นค็อกเทลรสชาติใหม่ๆ เพื่อให้ลูกค้าได้ลองดื่ม
การมาอยู่เมืองไทยสำหรับผมแล้วไม่ค่อยมีอุปสรรคเท่าไร เพราะผมใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร ซึ่งคนไทยที่ผมร่วมงานด้วยก็สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดี ผมพูดภาษาไทยได้บ้างนิดหน่อย ส่วนใหญ่จะเป็นคำง่ายๆ บางครั้งผมก็ใช้ภาษาท่าทางแทนการใช้ภาษาไทย (ยิ้ม) ก็เลยรอดตัวไป ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่น่ารัก ใจดี พวกเขาจะเรียนรู้และเข้าใจคนต่างชาติเสมอ จึงถือว่าโชคดีมากที่ได้มาอยู่ตรงนี้ อีกอย่างต้องบอกว่าผมชอบอาหารไทยมาก แม้บางเมนูอาจจะเผ็ดไปหน่อย แต่ผมก็กินได้”
ชายหนุ่มบอกว่า สิ่งที่ติอย่างเดียว คือคนไทยจะไม่ค่อยกระตือรือร้นมากนัก อาจด้วยเพราะนิสัยสบายๆ ที่คนไทยเป็น ที่จริงก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะไม่ทำให้ชีวิตเครียดจนเกินไปนัก แต่หากนำนิสัยสบายๆ มาใช้ในเรื่องการทำงานก็อาจจะทำให้งานล่าช้าได้ ผิดกับคนญี่ปุ่นที่ทำอะไรจริงจัง ทุกอย่างต้องเป๊ะๆ ไปหมด ซึ่งก็ถือว่าเป็นข้อดี แต่ข้อเสียก็คือจะทำให้ชีวิตเครียดเกินไป
“ผมทำงานสัปดาห์ละ 5 วัน มีวันหยุด 2 วัน แบบสลับกันหยุด วันว่างส่วนใหญ่ผมจะเข้าฟิตเนส ว่ายน้ำ และไปเดินซื้อของบ้าง แต่ถ้าช่วงไหนลาพักร้อน ผมจะชอบไปเที่ยวตามต่างจังหวัดของเมืองไทย สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมชอบและได้ไปมาแล้ว ก็คือ เกาะเสม็ด จ.ระยอง ที่ชอบเพราะมีหาดทรายขาว น้ำทะเลใส วิวสวย ราคาอาหารและที่พักก็ไม่แพงด้วย ที่ จ.เชียงใหม่ ผมก็ชอบนะ เพราะมีวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไป มีวิวที่สวยงาม แล้วยังมีฟาร์มออร์แกนิกให้ไปชมด้วย อีกที่หนึ่งคือ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าของไทย ที่นี่มีโบราณสถานที่สวยงาม ดูมีคุณค่า และผมยังชอบขี่ช้างชมเมืองอีกด้วย”
ฮิเดยูกิ ทิ้งท้ายว่า เขาคงจะทำงานอยู่ที่เมืองไทยไปอีกสักพักใหญ่ เนื่องจากตอนนี้ยังไม่มีแพลนจะย้ายไปทำงานที่ไหน ที่สำคัญเขารู้สึกว่าเมืองไทยให้โอกาสและเปิดรับในเรื่องอาชีพของเขาเป็นอย่างมาก อยู่แล้วสบายใจ ทำงานได้อย่างมีความสุข นี่แหละเหตุผลสำคัญที่ทำให้หนุ่มญี่ปุ่นอย่างเขาหลงรักเมืองไทย


