กษัตริย์โจ้วหวางกับ Diderot Effect
กษัตริย์โจ้วหวางเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซาง ราชวงศ์ที่สองของจีน ห่างจากยุคปัจจุบันกว่าสามพันปี
โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์
กษัตริย์โจ้วหวางเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซาง ราชวงศ์ที่สองของจีน ห่างจากยุคปัจจุบันกว่าสามพันปี
บันทึกประวัติศาสตร์เขียนไว้ว่า กษัตริย์โจ้วหวาง หูตากว้างไกล สติปัญญาเฉียบแหลม ฉับไว ร่างกายสูงใหญ่ มีพละกำลังเกินปุถุชน มีความสามารถในการพูด คิดทำอะไรรวดเร็ว รับมือสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างดี โจ้วหวางบุกเบิกดินแดนใหม่ได้มากมาย นำทัพต่อสู้และรวบรวมชนเผ่าอนารยะโดยรอบเข้ามาในเขตขัณฑ์ ทำให้อารยธรรมแห่งราชอาณาจักรซางเจริญรุ่งเรือง
อันที่จริงคุณสมบัติที่ว่านี้ดูเหมือนจะไม่ใช่คุณสมบัติของกษัตริย์องค์สุดท้ายเท่าไหร่ พระองค์มีสติปัญญามากพอที่จะคัดง้างคำโน้มน้าวของเหล่าขุนนาง สามารถประดิษฐ์คำเพื่อกลบเกลื่อนความผิด มักอวดอ้างคุยโวความสามารถของตนเองต่อหน้าขุนนางทั้งหลาย ใช้ชื่อเสียงบารมียกตนข่มท่าน และฝักใฝ่หลงใหลในสตรี (จำนวนมาก)
นี่สิ ที่เริ่มใกล้เคียงกษัตริย์องค์สุดท้ายเข้ามาหน่อย
ตำนานว่าไว้ว่า เมื่อครั้งกษัตริย์โจ้วหวางขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ พระองค์ทรงสั่งให้ช่างประดิษฐ์ตะเกียบงาช้างแกะสลักขึ้นคู่หนึ่ง อาของกษัตริย์โจ้วหวางรู้เข้า สีหน้ามีความกังวล มีความเห็นว่าเมื่อโจ้วหวางได้ใช้ตะเกียบงาช้างที่สลักเสลาอย่างเลิศเลอแล้ว ย่อมคิดว่าถ้วยไหจานชามดินเผาที่ใช้อยู่เดิมย่อมไม่คู่ควรกับตะเกียบ
เมื่อไม่พอใจ ก็จะต้องการถ้วยชามที่สลักจากหยกขาวและแกะจากนอแรด เมื่อได้ถ้วยชามสวยงาม ก็ย่อมไม่พอใจที่จะกินอาหารธรรมดา ย่อมใฝ่หาดีหมีอุ้งตีนเสือมาเพิ่มอรรถรสให้กับชีวิต
เมื่อเสพสุขกับถ้วยชามและรายการอาหารที่สวนทางกับนโยบาย WWF พระองค์ย่อมไม่ปรารถนาใช้เสื้อผ้าหยาบ และอยู่ในกระท่อมฟาง และย่อมเฝ้าใฝ่หาเสื้อผ้าแพรพรรณเนื้อละเอียด และอยู่อาศัยในพระราชวังอันใหญ่โตและวิจิตร
และในที่สุดทรัพยากรสัตว์ป่า เทคโนโลยีการถักทอและก่อสร้างของในแคว้นซางจะไม่สามารถสนองความต้องการของพระองค์ แล้วจะทรงไปเสาะแสวงของล้ำค่าพิสดารจากแดนอื่น ด้วยการทุ่มทุนหรือไม่ก็ขูดรีดชาวบ้านชาวช่อง
“ได้รู้เรื่องตะเกียบงาช้างนี้แล้ว ข้าอดจะกังวลแทนชะตากรรมของบ้านเมืองไปมิได้” อาพระเจ้าโจ้วหวาง กล่าว
การณ์เป็นดังคาด กษัตริย์โจ้วหวางขยายดินแดนกว้างไกล พร้อมกับเสพสุขในความยิ่งใหญ่ของตัวเอง ว่ากันว่า จุดเฟื่องฟูสุดของพระองค์ ทรงมีรับสั่งให้ขุดสระขนาดใหญ่แล้วเติมเต็มด้วยเหล้า เนรมิตป่าที่แขวนเต็มไปด้วยเนื้อสัตว์ หยิบกินได้อย่างเพลิดเพลิน ทรงสั่งให้ชายหญิงเปลือยกายวิ่งเล่นปลุกปล้ำกันอยู่ในอุทยานนั้น ให้พระองค์ได้ดูชมอย่างสำราญใจ นอกจากใช้ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่าขัดนโยบาย PETA และ WWF ยังทำตัวผิดหลักกระทรวงวัฒนธรรมเข้าไปอีก
ความสำราญของพระองค์ ต้องใช้ทรัพยากร และทรัพยากรก็มาจากการขูดรีดคนในแผ่นดิน
เมื่อผู้คนไม่ทนอีกต่อไป หัวหอกจึงหันเข้าทิ่มแทงทรราช ไม่นานบัลลังก์กษัตริย์โจ้วหวางจึงถูกล้ม ราชวงศ์ซางล่มสลาย ก่อนพระองค์จะถูกเผาในกองไฟ โจ้วหวางอาจจะกำลังถามตัวเองว่า “เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?”
กลางศตวรรษที่ 18 นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสชื่อ เดนิส ดีเดอรอท ใช้ชีวิตอย่างยากจนมาเกือบทั้งชีวิต แต่แล้ววันนึงชีวิตเขาก็เปลี่ยนไป
วันนั้นลูกสาวของเขากำลังจะแต่งงาน
ดีเดอรอทในวัย 52 ถึงเขาจะมีชื่อเสียงโด่งดังในวงสังคม เพราะเป็นถึงผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นผู้เขียน Encyclopedia ของฝรั่งเศส แต่เขาไม่มีเงินที่จะมอบเป็นสินทรัพย์ติดตัวให้แก่ลูกสาวในยามที่ต้องแยกครอบครัวออกไป เขาออกจะกลุ้มใจอยู่ไม่น้อย
เมื่อจักรพรรดินีแห่งรัสเซียรู้เข้า จึงเสนอข้อแลกเปลี่ยนที่เป็นพี่พึงพอใจแก่เขา จักรพรรดินีรัสเซียขอซื้อห้องสมุดของดีเดอรอทในราคาสูง ดีเดอรอทจึงกลายเป็นผู้มั่งคั่งในพริบตา
นอกจากมีเงินขวัญถุงให้ลูกสาวแล้ว ดีเดอรอทยังเหลือเงินจากการขายห้องสมุดอีกจำนวนมาก ชีวิตที่สมถะเรียบง่ายมาตลอดชีวิตของเขาน่าจะได้รับรางวัลของชีวิตอะไรบ้างในบั้นปลาย แล้วดีเดอรอทก็ตัดสินใจซื้อเสื้อคลุมสีแดงมาชุดหนึ่ง และนั่นคือจุดเปลี่ยน
เสื้อคลุมของดีเดอรอทสวยงามมาก สวยจนกระทั่งทำให้เขาสังเกตได้ว่า ของที่อยู่รอบๆ ข้างเขาดูหมองไปหมด ทั้งหมดดูไม่เข้าท่า ไม่เข้าชุดกับเสื้อคลุมใหม่ที่เขาซื้อมา เขาจึงเริ่มหาของที่เข้ากันได้กับเสื้อคลุมแสนสวยของเขา
เขาเริ่มเปลี่ยนพรมใหม่ เก้าอี้ใหม่ ผ้าม่านใหม่ โต๊ะทานข้าวใหม่ เครื่องครัวใหม่ ลามไปถึงหารูปปั้นมาแต่งบ้าน แต่งภายในแล้วต่อไปภายนอก ไปสวนหน้าบ้าน ทุกอย่างต้องถูกซื้อและจัดการใหม่หมด
แล้ววันหนึ่งดีเดอรอทก็สะดุ้งหันกลับมาถามตัวเองว่า “เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?” (คาดว่าวันนั้นอาจเป็นวันที่ยอดบัตรเครดิตถึงมือ)
ปฏิกิริยาการจับจ่ายอย่างต่อเนื่องแบบนี้ ถูกนักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันในอีก 200 ปีต่อมา ตั้งชื่อว่า “ปฏิกิริยาดีเดอรอท”
มันคือปฏิกิริยาของการซื้อหรือได้รับบางสิ่งที่แล้วทำให้เกิดวังวนความต้องการบริโภคสิ่งใหม่ต่อเนื่องกันไปไม่สิ้นสุด แล้วจบลงด้วยการซื้อของที่จริงๆ แล้ว เราไม่ได้มีความต้องการมันตั้งแต่แรก
เมื่อเริ่มซื้อชุดใหม่ ก็ต้องการตุ้มหูใหม่ ลิปสติกสีใหม่ และรองเท้าใหม่ที่เข้าชุด
เมื่อเริ่มซื้อทีวีใหม่ ก็ต้องการลำโพงใหม่ ชุดเครื่องเสียงเครื่องเล่นบลูเรย์ แล้วหนังเรื่องโปรดที่เคยดูด้วยแผ่นดีวีดี ก็ต้องไปตามหาซื้อเวอร์ชั่นบลูเรย์
เมื่อได้ตุ๊กตุ่นหนึ่งในขบวนการห้าสีตัวใหม่ เด็กน้อยเริ่มเดือดร้อนใจอดข้าวอดน้ำเพื่อซื้ออีก 4 ตัวให้ครบชุด
ปรากฏการณ์นี้ ไม่แบ่งแยกเพศและวัย และจากตำนานของโจ้วหวางกับเรื่องราวของดีเดอรอท ปรากฏการณ์นี้ยังเกิดขึ้นได้กับคนทุกระดับสติปัญญา และกับคนสมถะที่ไม่เคยโดนปฏิกิริยาของดีเดอรอทเล่นงานมากว่า 50 ปีอย่างดีเดอรอท
ซึ่งถ้าจีนมีอิทธิพลทางวิชาการเศรษฐศาสตร์แผนใหม่ ปฏิกิริยานี้คงถูกเรียกว่า “ปฏิกิริยาโจ้วหวาง”
คนเรามักต้องการอะไรใหม่ๆ และดีกว่าเดิม และธรรมชาติของคนเรามักขับเคลื่อนด้วยทิศทางของความต้องการที่เพิ่มขึ้นเสมอ สำหรับโจ้วหวางและดีเดอรอท ความต้องการถูกขับเคลื่อนด้วยสิ่งของสิ่งใหม่
หลายๆ คนลองนึกทบทวน คงรู้ว่าเราถูกปฏิกิริยาดีเดอรอทเล่นงานไปแล้วบ้างไม่มากก็น้อย และความสามารถด้านบวกของโจ้วหวาง ที่มีความสามารถในการขยายดินแดน เสาะหาสินทรัพย์และทรัพย์สิน คิดหาข้ออ้างได้ฉับไวนี่แหละ ยิ่งเป็นเชื้อไฟให้ปฏิกิริยาดีเดอรอทได้อย่างดีและหยุดไม่อยู่ ดูเหมือนว่าตราบใดสามารถในการหาทรัพย์สินมาสนองความต้องการของตัวเองได้ ปฏิกิริยานี้ก็ดูไม่น่าจะเป็นปัญหา
แต่ดีเดอรอทไม่ได้ตั้งคำถามแค่ว่าเราจะเดือดร้อนเรื่องเงินทองขนาดไหน ดีเดอรอทชี้ให้เห็นว่า มันตลกมั้ยที่วันนึงเราถูกปลุกความต้องการในสิ่งที่เดิมที่เราไม่ได้ต้องการ
“เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?”
และถ้าลดละเลิกความต้องการแบบนี้ได้ เราคงไม่ต้องเบียดเบียนคนอื่นอีกมาก รวมถึงลดการเบียดเบียนตัวเองได้อีกด้วย


