ทำไม เวลามาหาหมอจีนต้อง ‘แมะ’? ตอนจบ
ลักษณะการเต้นของชีพจรในทางแพทย์จีนมีระบุไว้ 28ชนิดด้วยกัน ตัวอย่างเช่น ชีพจรแบบฝูม่าย(浮脉) หรือชีพจรลอย
โดย...พจ.อรกช มหาดิลกรัตน์ คลินิกหัวเฉียวไทย-จีน แพทย์แผนจีน
ลักษณะการเต้นของชีพจรในทางแพทย์จีนมีระบุไว้ 28ชนิดด้วยกัน ตัวอย่างเช่น ชีพจรแบบฝูม่าย&O5288;&>8014;&&3033;) หรือชีพจรลอย ซึ่งจะมีลักษณะเหมือนท่อนไม้ลอยอยู่ผิวน้ำ เวลากดจะจมเล็กน้อย ลักษณะชีพจรเช่นนี้มักพบได้ในผู้ป่วยไข้หวัดหรือบ่งบอกถึงอาการเปี่ยวปัจจัยเสียก่อโรคยังอยู่ภายนอกยังไม่เข้าสู่อวัยวะภายใน ชีพจรแบบเสียนม่าย&O5288;&>4358;&&3033;&O5289;หรือที่มักได้ยินคุณหมอบอกว่าชีพจรตึงนั่นเอง ชีพจรนี้เวลาจับจะรู้สึกเป็นเส้นยาว และตึงคล้ายกับเวลากดสายพิณ ใครบ้างที่จะมีลักษณะชีพจรแบบนี้ โดยมากมักจะมีปัญหาในเรื่องตับในทางแพทย์จีนบอกว่าอาจจะมีลมปราณตับเกิดการติดขัดโดยมากมักจะพบว่ามีความเครียด ความดันสูงร่วมด้วยหรืออาจจะพบในผู้ที่มีอาการเจ็บปวด ถ้าหากว่าตึงด้วยเต้นเร็วด้วย แสดงว่านอกจากจะมีลมปราณตับติดขัดแล้ว อาจสะสมเป็นเวลานานจนทำให้เกิดไฟลุกโหมอยู่ภายใน หรืออาจจะเคยได้ยินคุณหมอบอกว่า “ตับร้อน” นั่นเอง แต่ถ้าชีพจรตึงแต่เป็นลักษณะเส้นเล็กๆ ก็แสดงถึงลมปราณตับติดขัดร่วมกับมีเลือดพร่อง หรือมีตับและไตอินพร่อง เป็นต้น
นอกจากนี้การแมะยังมีส่วนเฉพาะสำหรับเด็กเล็กๆอีกด้วย เด็กบางคนหรือพ่อแม่อาจจะสงสัยกันว่าทำไมผู้ใหญ่จับชีพจรที่ข้อมือ แล้วเด็กเล็กๆดูอะไรกันนิ้ว การดูร่องรอยที่นิ้ว เป็นการดูเส้นเลือดเล็ก ๆ ที่อยู่บริเวณนิ้วชี้บริเวณนอกโดยหงายฝ่ามือ มักจะใช้ดูในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 3 ขวบ เนื่องจากชีพจรบริเวณข้อมือค่อนข้างเล็กจับได้ยาก โดยจะมีการแบ่งตำแหน่งออกเป็น ข้อแรกสุดเป็นเฟิงกวน&O5288;&&9118;&>0851;&O5289;ข้อถัดขึ้นไปเป็นชี่กวน&O5288;&>7668;&>0851;&O5289;และข้อนิ้วสุดท้ายเป็นมิ่งกวน&O5288;&>1629;&>0851;&O5289;ซึ่งแต่ละระดับจะบ่งบอกไดถึ้งอาการหนัก-เบาของโรค ปัจจัยเสียก่อโรคยังอย่ภู ายนอกหรือเข้าลึกสู่อวัยวะภายใน นอกจากนี้สีของเส้นเลือดที่นิ้วยังบ่งบอกได้ถึงว่ามีอาการร้อน-เย็น พร่อง-แกร่ง มีเสมหะอุดกั้น เลือดไหลเวียนไม่ดี เช่น สีแดงสดหมายถึงมีความเย็น สีแดงม่วงหมายถึงมีความร้อน สีอ่อนหมายถึงอาการพร่อง เป็นต้น
เคยได้ยินหลายคนบอกว่าแมะแล้วรู้ว่าเป็นมะเร็ง มีเนื้องอกตรงนั้นตรงนี้ จริงหรือไม่ ประเด็นนี้หลายๆ คนค่อนข้างเชื่อได้ยาก ผู้ป่วยมะเร็งนั้นพื้นฐานเดิมมีความซับซ้อนของโรคและกลไกการเกิด การดำเนินโรคแตกต่างกันไปแต่ละบุคคล แต่ละระยะของโรคก็มีความแตกต่างกันไป และผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่ที่มาหาหมอจีนมักจะผ่านการรักษาสารพัดอย่างมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นชีพจรที่ปรากฏก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยอีกเช่นกัน ในความเป็นจริงแล้วในทางศาสตร์การแพทย์แผนจีนในอดีตไม่ได้มีการระบุถึงโรคมะเร็งแต่อย่างใด แต่สามารถจะบอกได้ว่าอวัยวะต่างๆในร่างกายของเราทำงานปกติหรือไม่ เลือดและลมปราณเพียงพอ และไหลเวียนสะดวกติดขัดหรือไม่ อินและหยางในร่างกายสมดุลหรือไม่ มีเสมหะหรือปัจจัยเสียก่อโรคอยู่ภายในร่างกายหรือไม่ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละถ้าหากไม่ป้องกันรักษาปล่อยทิ้งไว้นานวันเข้าก็จะทำให้มีโรคต่างๆ ตามมาได้ ไม่เพียงแต่โรคมะเร็ง ซึ่งทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ยาวนานของคุณหมอ มีความชำนาญในการวิเคราะห์โรคด้วย จึงจะประเมินอาการล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำถูกต้อง แต่ในตำราแพทย์จีนในอดีตก็มีบันทึกไว้อยู่เหมือนกันที่อาจจะคล้ายคลึงกับโรคมะเร็งอย่างในสมัยราชวงศ์ชิงมีหมอท่านหนึ่งชื่อว่า “หวงหยวนยวู่ &*0644;&>0803;&>4481;”เขียนไว้ในตำรา “จินคุ่ยเสวียนเจี่ย”&<2298;&&7329;&>1294;&>4748;&&5299;&<2299;ในบท“จีจู้ย&O5288;&&1215;&&2858;&O5289;หรืออาการสะสมหมักหมมจนเกิดเป็นก้อนขึ้นมาในร่างกาย” ได้กล่าวถึงชีพจรที่มีลักษณะเป็นเส้นเล็ก และคล้ายกับมีตุ่มกระดูกโผล่ขึ้นมา ลักษณะเช่นนี้แสดงว่ามีอาการ “จีจู้ย” หรือบางท่านอาจเคยได้ยินในแพทย์จีนยุคใหม่ๆบอกว่าชีพจรคล้ายกับมีเม็ดถั่วเขียวนั่นเอง
หวังว่าจะทำให้หลายๆ ท่านไขข้อข้องใจกันแล้วนะคะว่าหมอจีน “แมะ” กันทำไม บ่งบอกอะไรได้บ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การแมะ&O5288;&>0999; เชียะ&O5289;เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่ใช้ร่วมในการวินิจฉัยโรคและกลุ่มอาการเท่านั้น ยังต้องอาศัยร่วมกับการมอง&O5288;&>6395;ว่าง&O5289;การดมหรือฟัง&O5288;&&8395;เหวิน&O5289;และการซักถามประวัติอาการ&O5288;&&8382; เวิ่น&O5289;หรือที่เรียกว่า “วิธีการตรวจวินิจฉัยโรค 4 ประการ” (ซื่อเจิ่น&O5292;&>2235;&&5786;&O5306;&>6395;&&8395;&&8382;&>0999;) แพทย์แผนจีนเป็นการมองภาพในองค์รวม ดังนั้น การวินิจฉัยวิเคราะห์โรคและกลุ่มอาการจะแม่นยำหรือหรือไม่นั้นต้องอาศัยทั้ง 4 อย่างนี้ประกอบกัน ไม่ใช่ว่าใช้วิธีอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งยังต้องอาศัยความรู้แนวคิดและหลักการของศาสตร์การแพทย์แผนจีนด้วย เพื่อวิเคราะห์กลไกการเกิดโรค สภาพพื้นฐานร่างกายของผู้ป่วยว่าจัดอยู่ในกลุ่มอาการใด จากนั้นจึงจะสามารถเลือกวิธีการรักษาหรือตำรับที่เหมาะสมและถูกต้องได้


