posttoday

โองการแช่งน้ำ

04 ตุลาคม 2558

“เบื้องบนฟ้าจะกดลงมา เบื้องต่ำน้ำจะกลบภูผา...ล้างมารครองเมือง ดับยุคเข็ญประหัตประหาร ผู้คนล้มตายดั่งผักปลา

โดย...พรเทพ เฮง

“เบื้องบนฟ้าจะกดลงมา เบื้องต่ำน้ำจะกลบภูผา...ล้างมารครองเมือง

ดับยุคเข็ญประหัตประหาร ผู้คนล้มตายดั่งผักปลา คำสาปฟ้าและดินลงฑัณท์

ขุนคน คนใหญ่ ขุนนาง กร่างเกลื่อนไป

ลืมวันที่หลั่งรินน้ำ ลืมคำที่เคยให้ไว้ ไม่รักษาสัญญาฟ้าดิน

เบื้องบนฟ้าจะกดลงมา เบื้องต่ำน้ำจะกลบภูผา...ล้างมารครองเมือง

ดับยุคเข็ญประหัตประหาร ผู้คนล้มตายดั่งผักปลา คำสาปฟ้าและดินลงฑัณท์’

 เมื่อได้ยินข่าวว่า คอนเสิร์ต เดอะ ซิมโฟนิค ออฟ วงตาวัน (The Symphonic of WongTawan) ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตใหญ่เต็มรูปแบบตั้งแต่ก่อตั้งวงมาเลยก็ว่าได้ จะมีขึ้นในช่วงปลายเดือน ต.ค.นี้

 เนื้อร้องในท่อนท้ายของบทเพลง “โองการแช่งน้ำ” ก็แว่วเข้ามาในหัวทันที

โองการแช่งน้ำ

 

 ในยุคสมัยแห่งความสับสนอลหม่านและความตกต่ำของสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และศีลธรรมจรรยา บทเพลงแห่งการปลอบประโลมใจและตอกย้ำความรู้สึกที่ดำดิ่งในชะตากรรมของผู้คน มีไม่มากมายนักที่จะหยิบมาฟังได้

 บทเพลง “โองการแช่งน้ำ” ถือว่าเป็นบทเพลงหนึ่งที่ทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจ และสื่อถึงความหมายของกลียุคแห่งสังคมได้เป็นอย่างดี เป็นการนำเอาแรงบันดาลใจจากคำสวดในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยามาขยายเขียนเป็นเพลง ที่สะท้อนถึงความเป็นไปของบ้านเมือง

 หยิบหนังสือวรรณกรรมสมัยอยุธยา เล่ม 1 กรมศิลปากรจัดพิมพ์เผยแพร่ พ.ศ. 2540 เปิดดูความหมายของ “ลิลิตโองการแช่งน้ำ” หรือ “ประกาศแช่งน้ำโคลงห้า” เขียนบอกไว้ชัดเจนว่าเป็นวรรณคดีเก่าแก่ที่สันนิษฐานว่าแต่งในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา

 มีลักษณะเป็นลิลิต ซึ่งประกอบด้วยร่ายดั้นและโคลงห้าหรือมณฑกคติ จัดเป็นหนังสือที่อ่านเข้าใจยากมาก เนื่องจากถ้อยคำสำนวนเป็นคำภาษาไทยโบราณ บางตอนแต่งเป็นคำอรรถคำสวดลึกซึ้งหนักแน่น เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ บางตอนใช้ถ้อยคำแข็งกร้าว ทำให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์สะเทือนใจ หวาดหวั่นพรั่นพรึงขนพองสยองเกล้าได้

จึงนับได้ว่าลิลิตเรื่องนี้แต่งได้เหมาะสมกับความมุ่งหมาย คือ เพื่อใช้อ่านหรือสวดในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา เนื้อความหลักของลิลิตโองการแช่งน้ำเริ่มด้วยร่ายสามบท เป็นคำสรรเสริญพระนารายณ์ พระอิศวร และพระพรหม

ตอนต่อมาเป็นโคลงและร่าย เนื้อความว่าด้วยการสร้างโลกตามคติไตรภูมิ แล้วอัญเชิญพระรัตนตรัย ผีสางเทวดา และผู้มีฤทธานุภาพทั้งหลายมาชุมนุมเพื่อเป็นพยานในพิธี แล้วจึงเป็นคำสาปแช่งให้ผู้คิดร้ายไม่ซื่อต่อสมเด็จพระรามาธิบดีต้องประสบภัยพิบัตินานัปการ และอวยพรผู้ที่ซื่อตรงจงรักภักดีให้มีความสุขและลาภยศ

หากจะแยกให้เห็นเป็นองค์ประกอบ 5 ส่วนของลิลิตโองการแช่งน้ำ เนื้อหาจะแบ่งได้เป็น 5 ส่วนด้วยกัน ดังนี้

โองการแช่งน้ำ

 

 1.สดุดีเทพเจ้าทั้ง 3 องค์ ตามความเชื่อของฮินดู ได้แก่ พระผู้ประทับเหนือหลังครุฑ “สี่มือถือสังข์จักรคธาธรณี” (พระนารายณ์) พระผู้ประทับบนวัวเผือก “เอาเงือกเกี้ยวข้าง อ้างทัดจันทรเปนปิ่น” (พระศิวะ) และผู้ประทับ “เหนือขุนห่าน” (พระพรหม) เป็นร่ายสามบทสั้นๆ

 2.กล่าวถึงกำเนิดโลกและสังคมมนุษย์ อัญเชิญเทพยดา พระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภูตผีต่างๆ มาเป็นพยาน ทั้งหมดนี้พรรณนาด้วยโคลงห้า

 3.คำสาปแช่งผู้ทรยศ คิดไม่ซื่อต่อเจ้าแผ่นดิน ให้ประสบภยันตรายนานา ทั้งหมดนี้พรรณนาด้วยโคลงห้า เป็นเนื้อหาที่ยาวที่สุดในบรรดา 5 ส่วน

 4.คำอวยพรแก่ผู้จงรักภักดีแก่ผู้ที่มีความจงรักภักดี มีเนื้อหาสั้นๆ

 5.ถวายพระพรเจ้าแผ่นดิน เป็นร่ายสั้นๆ เพียง 6 วรรค

 ทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงรากฐานทางความคิดของคนเขียนเนื้อเพลงและดนตรีของบทเพลง “โองการแช่งน้ำ” ซึ่งก็คือสมาชิกของวงตาวัน ซึ่งประกอบด้วย กิตติพันธ์ ปุณกะบุตร กีตาร์, ชัยวัฒน์ จุฬาพันธุ์ กีตาร์,
มรุธา รัตนสัมพันธ์ เบส, พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา คีย์บอร์ด และ วงศกร รัศมิทัต กลอง มีความลุ่มลึกและเข้าใจในการอุปมาอุปไมยถึงภูมิปัญญาในการเมืองการปกครองที่สืบทอดขนบธรรมเนียมโบราณสู่การเขียนเพลงป๊อปร็อกร่วมสมัยที่มีกลิ่นอายของดนตรีโปรเกรสซีฟร็อก

บทเพลงนี้อยู่ในสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 2 ของพวกเขา ซึ่งมีชื่อว่า “ม็อบ” ออกมาในปี 2535 ซึ่งเป็นงานที่ไม่ดังอย่างแน่นอน และคนไทยไม่มีใครรู้จักกันมากนัก

เพราะฉะนั้น เมื่อวงตาวันที่ยุบวงไปแล้วกลับมารวมตัว หรือ รี-ยูเนียน เพื่อเล่นคอนเสิร์ตพร้อมกับวงออร์เคสตรา มหานคร ฟิลฮาร์โมนิก ออร์เคสตรา และคอรัสร่วม 100 ชีวิต ก็ยิ่งอยากฟังบทเพลง “โองการแช่งน้ำ” เพลงนี้ว่าจะอลังการและขรึมขลังขนาดไหน หากเล่นร่วมกับออร์เคสตรา เพราะโดยธรรมชาติการเรียบเรียงเพลงเอื้อต่อออร์เคสตราอยู่แล้ว

แม้จะมีนักคิดนักเขียนหัวก้าวหน้าหรือฝ่ายซ้ายหลายคนมองว่า บทเพลง “โองการแช่งน้ำ” คือการสยบยอมต่ออำนาจในพิธีกรรมแบบเก่าที่กดขี่ข่มเหงและครอบงำประชาชน ซึ่งก็เป็นความหลากหลายทางความคิดที่สามารถต่อยอดถกเถียงกันได้ทางปัญญา แต่ในเชิงศิลปะดนตรีนี่คือบทเพลงที่ดีที่สุดเพลงหนึ่งของวงการเพลงไทยร่วมสมัย ดังเนื้อร้องข้างล่างที่เป็นจริงในสังคมไทยปัจจุบัน

 “ฟ้าเคือง ดินโกรธ ฝนจาง บอกลางร้าย

แผ่นดินแล้ง เกินจะปลูกสิ่งไหน ภัย...จะโถมทลายเมืองคน

ผองคน โกงโลก คว้าครอง อย่างใจตน

ทุกสิ่งในโลกนี้ เป็นอย่างไรไม่สน จนจะผลาญซะจนสิ้นพันธุ์

หลอมคน รวมชาติ ล้านคน หลากดีร้าย

อยู่รวมกัน คนและสัตว์ทั้งหลาย ในแผ่นฟ้าและดินเดียวกัน

เพียงคนเท่านั้นเป็นใหญ่ หรือคุณฟ้าให้กำเนิด เบียดเบียนชีวิตกัน

แข็งขืนจะฝืนลิขิต วงจรชีวิตจะสั้น ไฟ...จะเผาล้างพันธุ์คนพาล”

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา