ตายตาให้หลับ
ตอนนี้มีวิวาทะเกี่ยวกับภาพยนตร์ไทยเรื่องหนึ่ง ซึ่งหลักๆ ก็น่าจะเกี่ยวกับเรื่องผีๆ สางๆ เพียงไปตั้งชื่อทับหลักการของศาสนาเข้า
โดย...กรกิจ ดิษฐาน
ตอนนี้มีวิวาทะเกี่ยวกับภาพยนตร์ไทยเรื่องหนึ่ง ซึ่งหลักๆ ก็น่าจะเกี่ยวกับเรื่องผีๆ สางๆ เพียงไปตั้งชื่อทับหลักการของศาสนาเข้า ทั้งยังมีเรื่องไม่พอใจเกี่ยวกับนักแสดง ทำให้ชาวพุทธบางส่วนออกมาแสดงจุดยืน
พูดถึงหนังไทยว่าด้วยพุทธศาสนา ต้องบอกว่าบ้านเรายังไม่ถึงขั้นที่ถึงระดับปรมัตถ์แห่งวงการต้องเป็นเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น ซึ่งล้วนแต่ดูยากเพราะลึกซึ้งทั้งสิ้น
แต่มีเรื่องหนึ่งดูง่ายไม่ซับซ้อนจนคนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าเป็นหนังอิงคำสอนพุทธศาสนา นั่นคือเรื่อง Departures (โอคุริบิโตะ) ที่ได้รางวัลออสการ์ปี 2009 เรื่องนี้สร้างอิงมาจากหนังสือของ อาโอกิ ชินมง เป็นประสบการณ์ตอนที่เขาเป็นคนจัดศพตามพิธีของศาสนาพุทธนิกายชิน (สุขาวดี) จริงๆ แล้วเขาบอกว่า หนังเรื่องนี้ยังไม่ถึงขั้น เพราะพยายามโลกสวยในเรื่องความตายเกินไป และให้ภาพว่าพิธีกรรมทางศาสนาหาแก่นสารไม่ได้ โดยแทรกภาพโมเมนต์สวยๆ เพลงเพราะๆ เข้าไป
อาโอกิ ย้ำว่าที่เขาเขียนหนังสือเล่าประสบการณ์ตัวเองเรื่องจัดศพ เพราะได้รับแรงบันดาลใจมาจากคำสอนของท่านชินรัน ประมุขนิกายชิน ในพิธีตอนหนึ่งจะต้องสวดข้อความจากลิขิตของท่านเรนเนียว พระสงฆ์รูปสำคัญของนิกายนี้ มีเนื้อความน่าสนใจมาก
“บัณฑิตอาจเชี่ยวชาญปริยัติธรรม แต่หากยังไม่อาจแก้ปัญหาอันยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตหลังความตายได้ บัณฑิตผู้นั้นก็หาได้รู้แก่นแท้ของศาสนาแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ชาวบ้านหญิงชายแม้นไร้การศึกษา แต่ล่วงพ้นปัญหาอันยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตหลังความตายได้ อาตมานับว่าคนผู้นั้นมีปัญญาอย่างแท้จริง”
คำสวดนี้คล้ายๆ กับการสวดพระอภิธรรมที่บ้านเรา คือสวดให้คนเป็นฟัง ให้รู้สึกว่าขันธ์ห้าไม่เที่ยงแท้ จงระวังการเกิดดับให้จงดี และเหมือนการสวดพระมาลัย ที่แต่เดิมเขาสวดในงานมงคลให้คนเป็นฟัง จะได้กลัวความชั่ว แสวงหาความดี สวดให้คนตายฟังคงไม่ได้ประโยชน์โพดผลแน่นอน
ผมนึกถึงคำสอนของท่านโมก๊ก สยาดอ พระวิปัสสนาจารย์ชาวพม่า ท่านสอนไว้ก่อนจะละสังขารไม่นานว่า “ให้วิปัสสนาอย่างแน่วแน่ จนกว่าจะล่วงพ้นเวทนาได้ หาไม่แล้ว จะพ่ายแพ้ต่อความตาย” เจ้าเวทนาตัวนี้เป็นหนึ่งใน “ปัญหาอันยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิต” ของพุทธศาสนาเหมือนกัน
คำสอนของพุทธศาสนาญี่ปุ่นกับไทยและพม่าสอนตรงกัน คือถ้ายังประมาทอยู่ไม่รู้จักตัวเอง ยึดติดในตัวเองก็เตรียมเกิดตาย ตายเกิดอยู่ร่ำไปได้เลย
อาโอกิ ชินมง บอกว่า นักคิดนักเขียนสมัยใหม่พร่ำบอกว่า ชีวิตหลังความตายไม่มีอะไร พอจะตายขึ้นมาก็เลยกระเสือกกระสนทำอะไรไม่ถูก คนส่วนใหญ่ก็คิดถึงแต่ชีวิตไม่คิดว่าตอนตายจะทำอย่างไร และทำอย่างไรถึงจะนอนตายตาหลับ (เหมือนในหนัง)
Departures เป็นเรื่องของคนจัดศพ เป็นงานที่คนรังเกียจเดียดฉันท์ แต่เดิมจึงเป็นงานของคนวรรณะบุระคุมิน เทียบได้กับพวกจัณฑาล ถูกกีดกันรังเกียจมากจากสังคมญี่ปุ่น ต้องทำงานสกปรก แต่เรื่องนี้ช่วยฉีกภาพลักษณ์ความตายและคนที่ทำงานกับความตายเป็นชิ้นๆ ที่น่าสนใจก็คือท่านเรนเนียว ก็เกิดในวรรณะบุระคุมินด้วย
คนเรามักกลัวตาย เกลียดงานศพ ในบ้านเรายังไม่เท่าไหร่เพราะการบันเทิงปลอบศพมีเยอะ ในประเทศโมเดิร์นความตายเป็นอะไรที่น่ารังเกียจมาก Departures ฝ่าด่านนี้มาได้ แม้จะไม่มีคำสอนทางพุทธศาสนาแบบตรงไปตรงมา แต่ก็ซ่อนในลีลาของหนังนั่นเอง นั่นคือ สาส์นที่บอกว่า “ความตายไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ” และถ้าเกลียดมันมากไปจะตายตาไม่หลับ


