‘อุทยานราชภักดิ์’ พื้นที่ในสายพระเนตร 7 บูรพกษัตริย์แห่งสยาม
เราออกแบบลานอนุสาวรีย์โดยวางกรอบให้พระเนตรของบูรพกษัตริย์แห่งสยามทั้ง 7 พระองค์มองมาที่จุดเดียวกัน
โดย...ธเนศน์ นุ่นมัน
“เราออกแบบลานอนุสาวรีย์โดยวางกรอบให้พระเนตรของบูรพกษัตริย์แห่งสยามทั้ง 7 พระองค์มองมาที่จุดเดียวกัน ใครที่ยืนอยู่ตรงกึ่งกลางของลาน แล้วมองขึ้นไปยังองค์อนุสาวรีย์ก็จะเห็นว่าตัวเองกำลังอยู่ในสายพระเนตร”
นั่นเป็นหัวใจสำคัญอีกแง่มุมหนึ่งที่ถูกกำหนดขึ้นในงานออกแบบสร้าง “อุทยานราชภักดิ์”ภายในพื้นที่ของกองทัพบก ในโรงเรียนนายสิบทหารบก ตรงข้ามสวนสนประดิพัทธ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ตามที่ บวรเวท รุ่งรุจี อธิบดีกรมศิลปากร ฉายภาพให้เห็นตามมุมมองที่กรมศิลปากรได้วางแผนการออกแบบไว้ และเป็นสิ่งที่ผู้ไปเยือนจะได้ประจักษ์หลังจากงานก่อสร้างที่กำลังดำเนินอยู่แล้วเสร็จ
การก่อสร้างอุทยานแห่งนี้ เริ่มต้นขึ้นหลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้กระทรวงกลาโหม โดยกองทัพบก จัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระบูรพกษัตริย์แห่งสยาม 7 พระองค์ อันถือเป็นองค์แทนพระมหากษัตริย์แต่ละสมัย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ทรงสร้างคุณูปการต่อประเทศชาติจนกลายเป็นปึกแผ่นของชาติไทยตราบจนปัจจุบันกาล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อว่า“อุทยานราชภักดิ์” มีความหมายว่าอุทยานที่สร้างขึ้นด้วยความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์
กองทัพบกดำเนินการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ ภายในพื้นที่ของกองทัพบก โดยใช้พื้นที่ก่อสร้างรวมทั้งสิ้น 222 ไร่เศษ ซึ่งองค์ประกอบภาพรวมของอุทยานราชภักดิ์ จะมีโครงสร้างหลักที่สำคัญ 3 ส่วนหลัก ประกอบด้วย
ส่วนแรก : พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบูรพกษัตริย์แห่งสยาม 7 พระองค์ โดยพิจารณาเลือกพระมหากษัตริย์แต่ละยุคสมัยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งพระนามแต่ละพระองค์เป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ได้แก่ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือสมเด็จพระปิยมหาราช ใช้พื้นที่ประมาณ 5 ไร่ โดยรูปแบบของพระบรมราชานุสาวรีย์จะจัดสร้างในลักษณะพระอิริยาบถทรงยืน ความสูงเฉลี่ยไม่เกิน 13.9 เมตร หล่อด้วยโลหะสำริดนอก
ส่วนที่ 2 : ลานอเนกประสงค์ มีเนื้อที่ประมาณ 91 ไร่ ใช้สำหรับกระทำพิธีที่สำคัญของกองทัพ และรับรองบุคคลสำคัญจากต่างประเทศ
ส่วนที่ 3 : อาคารพิพิธภัณฑ์ หรือห้องจัดแสดงนิทรรศการประวัติศาสตร์ โดยการค้นคว้า รวบรวม และจัดทำพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจที่สำคัญของบูรพกษัตริย์ไทย ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยจะดำเนินการจัดสร้างบริเวณด้านล่างของฐานพระบรมราชานุสาวรีย์
ขณะที่พื้นที่ส่วนที่เหลืออีก 126 ไร่ จะเป็นสภาพภูมิทัศน์โดยรอบ และการจัดสร้างระบบสาธารณูปโภคเพื่ออำนวยความสะดวก
ในส่วนงานด้านต่างๆ ที่กรมศิลปากรเข้ามารับหน้าที่นั้น บวรเวทเล่าว่า “ทางกองทัพบกได้ประสานมายังกรมศิลปากรให้ทำหน้าที่สร้างประติมากรรมต้นแบบของพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบูรพกษัตริย์แห่งสยามทั้ง 7 พระองค์ เราก็มอบหมายเรื่องนี้ให้กับทางช่างสิบหมู่เป็นผู้ออกแบบต้นร่าง หรือแบบจำลองขนาดเล็กให้กรรมการจัดสร้างพิจารณา เมื่อกองทัพบกบอกว่า แบบที่ได้นั้นผ่านแล้ว ก็มอบหมายงานปั้นขยายแบบอีกขั้นตอนให้กับประติมากรของเรา จัดทำต้นแบบเท่าองค์จริงคือมีความสูงขนาด 1.7 เมตร”
ต้นแบบดังกล่าวตามที่อธิบดีกรมศิลปากรระบุ ถูกส่งไปยังโรงหล่อเพื่อเป็นแบบสำหรับขยายเป็นความสูง 13.90เมตร ก่อนจะเริ่มขั้นตอนสร้างเป้าสำหรับงานที่จะดำเนินการหล่อด้วยโลหะสำริด และในส่วนของรูปจำลองต้นแบบที่ดำเนินการขยายแล้วเสร็จ ก็จะถูกอัญเชิญไปประดิษฐานยังส่วนหนึ่งของอุทยานราชภักดิ์ด้วยเช่นกัน “ในส่วนของงานขยายแบบ ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก เราแยกย้ายการทำงานส่วนนี้ไปยังโรงหล่อที่มีศักยภาพในการทำงาน 4 แห่ง อีกส่วนที่กรมศิลปากรได้รับมอบหมายงานจากกองทัพ นั่นก็คือเรื่องการออกแบบภูมิทัศน์หรือส่วนลานของอุทยาน โดยมอบหมายให้ดร.พรธรรม ธรรมวิมล ภูมิสถาปนิก กลุ่มวิชาการอนุรักษ์โบราณสถาน สำนักโบราณคดี ของกรมศิลปากร เป็นผู้รับหน้าที่ออกแบบ โดยมีแนวความคิดของงานออกแบบครั้งนี้มาจากตำราพิชัยสงคราม ในส่วนของการวางทัพตามที่ปรากฏเนื้อหาในสมุดไทย สมัยอยุธยา” อธิบดีกรมศิลปากร กล่าว
กรมศิลปากรนำข้อมูลจัดการกองทัพและการเคลื่อนทัพในตำราพิชัยสงคราม มาตีความเป็นงานออกแบบโดยอาศัยข้อมูลตามที่ปรากฏในสมุดไทย เพื่อให้ได้ภาพของลานอุทยานที่สร้างแล้วเสร็จ เช่น กระบวนพยุหยาตราทัพ ต้องประกอบด้วยริ้วขบวน ขนาบ ขนาน ของเหล่าทหารตามลำดับ เพียบพร้อมด้วยระเบียบวินัยอันดียิ่ง มีแสนยานุภาพเข้าทำศึก มียุทธานุภาพอันเกรียงไกร มีเสบียงอาหารส่งกำลังบำรุงเสริมพลังรบอย่างพร้อมเพรียง ดั่งคำประพันธ์ในหนังสือสมุดไทยที่เขียนไว้ว่า
“จัดแจงแต่งพยุหโยธา พลช้างพลม้า อีกพลรบครบครันจัดทหารชาญเข้มแขงขยัน เร่งรัดเลือกสัน ผู้ไวผู่แว่นแก่นการเกนไว้ให้เสรจ์โดยวาร สำเนียงเสียงสาร ให้รู้การศึกทุกอัน ปืนใหญ่หน้าไม้เกาทัน ใหญ่น้อยจงสัน ให้เลือกแต่ล้วนหย่างดี แหลนหลาวทวนง้าวตาวจรี กันถัศหัดถี ทังไล่แลหนีวชาญฯ...”
ที่ยกมาคือส่วนรายละเอียดในระหว่างเคลื่อนทัพ ที่ระบุถึงชัยภูมิที่ตั้งกองทัพต้องพิจารณาให้รอบคอบ ตัวอย่างเช่น ภูมิประเทศเป็นแม่น้ำ ลำธาร ห้วย หนอง การจะตั้งกองทัพให้ไว้ช้างอยู่ข้างในไว้ม้าและพลเดินเท้าชั้นนอก แล้วให้ขุดคูทำเป็นกำแพงรอบให้มีหอรบบนกำแพง เป็นต้นส่วนแบบแผนกระบวนทัพ ต้องจัดแต่พยุหยาตราทัพเป็นรูปต่างๆ เช่น แต่งเป็นรูปปราสาทพยูห์ คือเคลื่อนทัพเป็นกระบวนริ้วปราสาท แต่งเป็นรูปจังโกทะกะพยูห์ คือเคลื่อนทัพเป็นริ้วขบวนรูปกระถางดอกไม้ เป็นต้น อธิบดีกรมศิลปากรระบุว่า ตำราพิชัยสงครามไม่ให้รายละเอียดเชิงปฏิบัติอย่างชัดเจน การถ่ายทอดออกมาเป็นภาพ จึงจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลหลายด้านประกอบกัน จนกว่าจะได้ภาพที่เห็นตรงกันกับที่กองทัพบกอยากให้เป็นภาพของอุทยานแห่งนี้ในอนาคต จนได้ลานขนาดใหญ่ ซึ่งได้เตรียมไว้สำหรับการเดินสวนสนามในอนาคตอีกด้วย
“ในส่วนของรายละเอียดขององค์อนุสาวรีย์ ในเรื่องของท่วงท่า ศาสตราวุธ เครื่องทรง ของแต่ละพระองค์ รายละเอียดที่ได้มานั้น เป็นการรวบรวมข้อมูลสำคัญต่างๆ มาจากเอกสารที่แตกต่างกันออกไป จากเอกสารทางประวัติศาสตร์ จากภาพเขียน รูปถ่าย เปรียบเทียบกับองค์เดิม นำมาปรับเปลี่ยนให้แต่ละพระองค์มีท่ายืนที่สง่างาม และมีรายละเอียดตรงตามเนื้อหาในประวัติศาสตร์บันทึกไว้” บวรเวทกล่าวและทิ้งท้ายว่า
ทั้งหมดจะถูกประกอบขึ้นเป็นอุทยานราชภักดิ์ที่ตั้งใจกลายเป็น “Landmark” และยังเป็นงานศิลปกรรมซึ่งแฝงความศรัทธาเป็นที่เคารพบูชา ความน่าสนใจของอนุสาวรีย์ในทางภูมิสถาปัตยกรรมก็คือสถานที่ตั้งของอนุสาวรีย์ หรือพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งอาจกลายเป็นอนุสรณ์สถานเป็นภูมิทัศน์แห่งความทรงจำและสื่อสาร สื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ให้ผู้มาเยือนรับรู้ถึงเหตุการณ์ บุคคลในอดีตได้ จากอดีตมีหลักฐานถึงสิ่งก่อสร้าง เพื่อสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์เป็นอนุสรณ์ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาผู้มาเยือน เป็นการบันทึกถึงบุคคลหรือเหตุการณ์ของสถานที่อีกแห่งที่เชื้อชวนให้ทุกคนไปเยี่ยมเยือน
กองทัพบกกำหนดการอัญเชิญประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ครบทั้ง 7 พระองค์ ในวันที่ 7 ส.ค. และต้องเร่งก่อสร้างให้เรียบร้อยภายใน 1 เดือนครึ่งนับจากวันดังกล่าวและในวันที่ 19 ส.ค. ได้เชิญนายกรัฐมนตรีมาทำพิธีเทวาภิเษกนอกจากนี้ยังทำหนังสือกราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ ทรงเปิดอุทยานในปลายเดือน ก.ย.นี้
ทั้งนี้ ทุกอย่างต้องเสร็จสมบูรณ์ยกเว้นในส่วนของห้องพระราชประวัติหรือพิพิธภัณฑ์ ซึ่งขณะนี้ต้องตกแต่งให้สมบูรณ์ภายในสิ้นปี 2558 ถือเป็นห้องที่ร้อยเรียงประวัติศาสตร์ชาติไทยมีองค์พระมหากษัตริย์เป็นหลัก ทุกยุคทุกสมัยตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ พร้อมทั้งพระราชประวัติขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์


