‘อ้อ-นาท’ ความรักพี่น้อง คือ ฐานรากให้เซ็ปเป้เติบโต
หากพูดถึงเครื่องดื่มเซ็ปเป้ย่อมเป็นที่รู้จักกันไม่น้อยในฐานะเครื่องดื่มแนวสุขภาพและความงาม
โดย...บงกชรัตน์ สร้อยทอง ภาพ... วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี
หากพูดถึงเครื่องดื่มเซ็ปเป้ย่อมเป็นที่รู้จักกันไม่น้อยในฐานะเครื่องดื่มแนวสุขภาพและความงาม (ฟังก์ชันนัล ดริงก์) วันนี้ตั้งเป้าชัดเจนสู่แบรนด์ระดับโลก (โกลบอลแบรนด์) ภายใต้การบริหารของน้องสาวคนที่สอง “ปิยจิต รักอริยะพงศ์” หรือ “อ้อ” ซีอีโอคนใหม่ของ บริษัท เซ็ปเป้ (SAPPE) ที่ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมารับไม้ต่อจากพี่ชายคนโต “อดิศักดิ์” หรือ “ก้อง” ที่เลื่อนตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริหารและวางกลยุทธ์ลุยตลาดต่างประเทศเป็นหลัก จากเธอทำหน้าที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน พร้อมโยกตำแหน่งนี้ให้น้องชายคนที่ 3 “อานุภาพ” หรือ “นาท” มาดูแลควบคู่ไปกับตำแหน่งเดิมคือประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ
ทว่า งานบริหารของทั้งคู่อาจมีภาพที่โตขึ้น แต่เขาก็บอกว่าการดูแลและบริการงานยังช่วยกันทำทั้งหมด 4 คนพี่น้องโดยน้องคนเล็กดูฝ่ายจัดซื้อ ซึ่งแต่ละคนก็ถือเป็นสิ่งที่ต้องรับผิดชอบและทำหน้าที่นี้ของตัวเองให้ดีที่สุด แต่เราสองคนได้รับหน้าที่ในการโปรโมทขึ้นมาเท่านั้น และก็เป็นพี่น้องอาจดูสนิทกันเพราะชีวิตตอนเด็กได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันมาตลอด
อ้อ : นาทเป็นน้อง ที่คิดดีและจิตใจดี
อ้อกับนาทเราจะสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะนั่งรถไปและกลับจากโรงเรียนด้วยกันมาตลอด จนเขาเป็นคนแรกที่ได้ไปเรียนต่างประเทศก่อนพี่น้องคนอื่น และไปที่ยังเด็กๆ อยู่ ก็มีอะไรก็โทรศัพท์คุยกัน แต่ตอนนั้นเชื่อว่าเขาเป็นเด็กที่เอาตัวรอดได้ เพราะเขาเป็นคนที่มีความคิดดี จิตใจดี จนเขาเรียนจบปริญญาตรีก็กลับมาช่วยคุณก้องพี่ชายคนโตรุกทำเซ็ปเป้ให้มีการเติบโตมาจนขนาดนี้ หรือเรียกได้ว่า คุณก้องเป็นสายบู๊ และนาทเป็นฝ่ายบุ๋นเลยทีเดียว
“ช่วงที่ธุรกิจครอบครัวในนามบริษัท ทรัพย์อนันต์ เยนเนอรัลฟู้ด ผลิตและจำหน่ายขนมครองแครงกรอบ คุกกี้ นานไปสินค้าเริ่มไม่ได้รับความนิยมเหมือนก่อน เราก็บอกว่างั้นกลับมาเรียนที่ไทยก็ได้ แต่พี่ก้องกับนาทก็บอกว่ายังไม่ต้องกลับมาเดี๋ยวลุยเอง ให้เราเรียนต่อปริญญาโทและทำงานที่นั่นเลย อย่างน้อยก็มีรายได้และหน้าที่การงานที่ดีอยู่แล้ว ซึ่งเราก็อยากรีบกลับมาช่วยที่บ้าน และในที่สุดสถานการณ์ที่บ้านก็เริ่มดีขึ้น เราก็ปลื้มใจที่พี่ก้องและนาทเขาได้วางรากฐานไว้จนบริษัทมาไกลมากจนทำให้ผลิตภัณฑ์โมกุโมกุน้ำผลไม้ที่วุ้นมะพร้าวผสมเป็นที่รู้จักดีถึง 64 ประเทศ”
ส่วนอ้อเพิ่งกลับมาทำงานให้กับธุรกิจที่บ้านเพียงกว่า 2 ปีเท่านั้น เพราะพอเรียนปริญญาโทจบก็ไปทำงานที่ธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์ของต่างประเทศร่วม 16 ปีจนที่บ้านตกลงกันว่าถึงเวลาที่ธุรกิจครอบครัวควรเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อวางรากฐานให้เครื่องดื่มไทยได้โกอินเตอร์อีกหนึ่งแบรนด์นอกเหนือจากกระทิงแดง ที่เป็นแบรนด์ของคนไทยกลายเป็นแบรนด์ระดับโลกแล้ว จึงตัดสินใจลาออกจากงานมา
พอกลับมาต้องรีบปรับทัศนคติหรือแนวทางการทำงานใหม่(Mind Set) เพราะจากประสบการณ์ที่ทำงานมาจากต่างประเทศ ทำให้เราโฟกัสและเป้าหมายที่ชัดเจนเลย แต่นี้ต้องทำงานหลายอย่างหลายฝ่ายเกี่ยวโยงไปหมด ที่ต้องปรับองค์กรพร้อมสู่การเป็นบริษัทจดทะเบียนอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งช่วงเวลานี้นาทเขาคอยเป็นแบ็กอัพที่ดีให้เราเสมอ พื้นฐานเขาเป็นคนที่มีจิตใจดี หลายอย่างเราก็ได้มุมมองที่ดีจากเขาเหมือนกัน ซึ่งจริงๆ ทุกคนก็ให้กำลังใจ รวมถึงนาท เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แต่เรารู้ว่าเขาก็เอาใจช่วย
ส่วนเวลาพี่น้องทำงานด้วยกันต้องมีอยู่แล้วที่มีความเห็นตรงกันบ้างไม่ตรงกันบ้างตามประสาการทำงาน แต่สุดท้ายทุกคนจะรู้จังหวะของแต่ละคน เพราะต่างก็สามารถอธิบายเหตุผลในมุมของตัวเองสุดท้ายงานก็จบในที่ทำงาน เมื่อถึงบ้านต่างคนก็คุยกัน เพราะเราไม่ใช่คนอื่น เป็นพี่น้องกันทั้งนั้นตอนนี้ก็มาช่วยกันต่อยอดความฝันของคุณพ่อ โดยกำหนดว่าภายใน 3-5 ปี มูลค่าแบรนด์ประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้ได้
ถามว่าห่วงอะไรเขาสุดตอนนี้ไม่ห่วงนะ เพราะความมีพื้นฐานของจิตใจที่ดีของเขาคิดว่าเป็นตัวคุ้มกันเขาทุกอย่าง และเราก็ชื่นชอบมาที่นาทเวลาเขาทำอะไรชอบนึกถึงเรื่องราวเกี่ยวกับการศึกษา สังคม และสิ่งแวดล้อม นั่นแสดงถึงเขาคิดถึงคนอื่นก่อนเสมอ
นาท : อ้อคือพี่สาว คนเก่งที่สู้ไม่ถอย
ผมกับพี่อ้อจะมีเวลาเดินทางไปเรียนด้วยกันตั้งแต่เรียนชั้นประถมศึกษาอาจเพราะอายุเราห่างกันไม่มาก พอผมได้ไปเรียนที่ต่างประเทศตั้งแต่มัธยมก่อน ก็เหมือนจะตื่นเต้นกับประสบการณ์แปลกใหม่ไปทุกอย่าง แรกๆ ก็จะยังไม่ถึงบ้าน ก็จะมีพูดคุยกับเขาแหละ โดยเฉพาะช่วงที่เขาต้องไปเรียนต่อที่ต่างประเทศจะใช้โทรศัพท์คุยกัน
ถึงตอนที่ทางบ้านเรามีปัญหาติดขัดนิดหนึ่งและพี่ก้องเพิ่งกลับมาจากเรียนปริญญาโทเลยตัดสินใจลุยกันเองเลย ใจจริงก็อยากให้เขากลับมาช่วย แต่ใจหนึ่งเสียดายสิ่งที่เขาทำและเป็นอยู่ตอนนั้น เพราะเขาก็ทำให้พวกเรารู้สึกภูมิใจกับเขา เขาเป็นคนเก่งที่มีความมุมานะ มุ่งมั่น เรียนก็เก่ง และแม้จะเป็นผู้หญิงแต่มั่นใจว่าเขาสามารถเอาตัวรอดได้ เขาเป็นคนไทยเป็นคนหัวดำที่ทำงานกับฝรั่งหัวทองได้ดี จนที่ทำงานหรือหัวหน้าอยากให้เขาทำงานต่อที่นั่น แต่เราเองก็ไม่อยากให้เขาทิ้งฝันของเขากลับมากลางคันก่อน ส่วนเราก็ไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็กด้วยก็เลยมาช่วยที่บ้านสานฝันวางรากฐานกับพี่ชายเพื่อให้สินค้าบริษัทเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกเพราะเชื่อว่าคนเราถ้ามีความตั้งใจจริงไม่มีอะไรในชีวิตที่ทำไม่ได้ มันต้องมีแรงที่เข้ามาช่วยผลักดันให้เกิดขึ้นได้เสมอ ซึ่งช่วง 3-4 ปีแรก ถือเป็นช่วงที่เหน็ดเหนื่อยกันมาก แต่ถึงวันนี้เราและทุกคนก็ภูมิใจ
เมื่อถึงเวลาที่พี่สาวต้องกลับมาช่วยนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ ก็รู้ว่าเขามีภาวะช็อกกับการทำงานไปแป๊บหนึ่งแต่ก็เห็นเขาพยายามมากเรียกว่าสู้ไม่เคยถอยเลย ซึ่งเราเข้าใจ เพราะหลายสิบปีที่เข้าทำงานกับบริษัทขนาดใหญ่ระดับอินเตอร์และเป็นสากล มีโครงสร้างองค์กรที่ชัดเจน ทำให้แต่ละฝ่ายสามารถมุ่งไปยังเป้าหมายของตัวเองได้อย่างตรงจุดผิดจากพื้นฐานของบริษัทที่โตมาจากระบบครอบครัว ดังนั้นต้องมาช่วยกันจัดระบบและปรับโครงสร้าง ซึ่งเขาก็สามารถใช้เวลาปรับตัวได้อย่างรวดเร็วภายใน 6 เดือน จนคนรอบข้างเอ่ยปากและพร้อมสู้ไปกับเขา
“พี่คนนี้เขามีความเป็นคนสู้ไม่ถอย เป็นคนอึดมาก ชอบทำสิ่งที่ท้าทายอยู่ข้างหน้า และเป็นคนมีเป้าหมายหรือกลยุทธ์การทำงานที่ชัดเจน เมื่อพี่ชายคนโตนำเรื่องนวัตกรรมเข้ามากปรับ และเน้นเป็นองค์กรที่มีความคิดสร้างสรรค์ พี่สาว
ก็เก่งเรื่องการเงิน การบริหารจัดการได้ดี สิ่งที่พวกเราและพนักงานทุกคนควรทำคือ การต้องเป็นแบ็กอัพที่ดี”
เวลาทำงานกันตามประสาพี่น้องก็มีขัดแย้งตามเหตุผลของแต่ละคนบ้าง แต่มองว่าเป็นเรื่องปกตินะ เพราะสุดท้ายเราก็รู้ว่ากัน อันไหนคือความสัมพันธ์ของพี่น้อง อันไหนคือเรื่องของงาน เราต่างคนแบ่งแยกหน้าที่และความสัมพันธ์ส่วนตัวกันออก ส่วนสิ่งที่ผมเป็นห่วงเขาก็คือ เพราะความที่เขาชอบทำงาน รู้สึกสนุกไปกับงาน โดยสู้เต็มที่นี่แหละ จึงห่วงเรื่องสุขภาพ รวมถึงกลัวเขาจะแบ่งวลาให้กับครอบครัวของเขาได้น้อยลง แต่สุดท้ายก็มั่นใจว่าเขาจะบริหารจัดการได้
ความเป็นพี่น้องที่มีแต่ความปรารถนาดีให้แก่กัน การช่วยการดูแลกัน การเสียสละ รักและสามัคคีของเหล่าสมาชิกทุกคนในบ้าน ล้วนแต่เป็นบ่อเกิดสิ่งดีๆ จนทำให้แต่ละคนมีแรงขับในการดำเนินชีวิตได้อย่างดีนี่อาจเป็นเคล็ดลับอย่างหนึ่งของธุรกิจที่กำลังจะเติบโตสู่สากล ว่าจะต้องมีฐานรากจากครอบครัวที่อบอุ่น


