5 หัวกะทิ พิชิตแอดมิชชั่น
ผลการสอบแอดมิชชั่นประจำปีการศึกษา 2558 ประกาศออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดย...นฤมล รัตนสุวรรณ์
ผลการสอบแอดมิชชั่นประจำปีการศึกษา 2558 ประกาศออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่ามีทั้งผู้สมหวังและผู้ที่พลาดหวัง แต่ไม่ว่าผลการสอบจะออกมาเป็นอย่างไร นั่นย่อมไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต
ปีการศึกษา 2558 มีผู้สมัครสอบทั้งสิ้น 124,648 คน 87 สถาบันการศึกษา 802 คณะ/สาขาวิชา ในจำนวนนี้มีผู้ผ่านเข้าสู่ขั้นตอนการสอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกาย 91,813 คน
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิด “ดราม่า” การเลือกคณะของนักเรียนที่ได้คะแนนสอบสูงสุด นั่นเพราะน้องปราง-ศิรดา ไตรตรึงษ์ทัศนา นักเรียนจากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน กรุงเทพฯ เจ้าของผลคะแนน 91.60 เลือกเรียนต่อคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นไปตามแต่ที่ใจของใครจะคิด แต่ที่สุดแล้วการตัดสินใจของน้องศิรดาย่อมเป็นการเลือกที่ดีที่สุดสำหรับอนาคตของเธอ
สังคมไปไกลเกินกว่าจะมายึดติดกับความเชื่อ-ทัศนคติเดิมๆ ว่าสาขาวิชาชีพใดดีกว่าวิชาชีพใด
@Weekly ฉบับนี้ เปิดใจ 5 เด็กนักเรียนที่ได้คะแนนสูงสุดของคณะ/สาขาวิชา สูงที่สุด 5 อันดับแรกของประเทศ
นอกจากน้องๆ ทุกคนจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ความสำเร็จครั้งนี้มาจากการตั้งใจเรียนในห้องเรียน รู้จักบริหารเวลาและหมั่นทบทวนความรู้อย่างสม่ำเสมอแล้ว
ยังพบว่าส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้น้ำหนักกับการ “กวดวิชา” เลย
เรียนเรื่อยๆ เน้นวิชาที่ชื่นชอบ
“น้องปราง” ศิรดา ไตรตรึงษ์ทัศนา นักเรียนโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน กรุงเทพฯ ซึ่งได้คะแนนเป็นร้อยละ 91.60 อันดับหนี่งของประเทศ ยอมรับว่า ดีใจมากๆ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เป็นที่หนึ่งของประเทศไทย
“แต่ที่ดีใจมากไปกว่านั้นคือ การรอคอยผลสอบมันได้สิ้นสุดลงแล้ว หนูมีมหาวิทยาลัยเรียนแล้ว หนูได้เข้าเรียนชั้นปี 1 แล้ว” น้องปราง กล่าวอย่างร่าเริง
สาเหตุที่ปรางเลือกเข้าคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เนื่องจากชื่นชอบการถ่ายรูปตั้งแต่เด็ก และเข้าร่วมชมรมถ่ายภาพในตอนเรียนมัธยม เป็นช่างภาพในกีฬาสาธิตสามัคคี ได้ลองทำเอ็มวีเพื่อส่งประกวดอีกด้วย
“สิ่งนี้เองทำให้หนูคิดว่ามีหนูสนุกกับงานที่ทำ”
หลังจากที่เธอใช้เวลาค้นหาตัวเองมาสักระยะหนึ่ง เธอรู้ตัวว่ามีความชอบด้านใด การตัดสินใจเลือกคณะเพื่อศึกษาต่อจึงไม่ใช่เรื่องยาก
“หนูอยากทำงานให้เหมือนกับเป็นงานอดิเรก อยากทำในสิ่งที่ตัวเองรักทุกวัน ซึ่งคงจะมีความสุขมาก” เจ้าของคะแนนอันดับหนึ่งของประเทศ ชัดเจนในการตัดสินใจ
อาชีพที่ใฝ่ฝันในอนาคต ปรางอยากเป็นผู้กำกับหนังแอ็กชั่นเจ๋งๆ เช่น หนังมาเวลซูเปอร์ฮีโร่ เป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่ได้รับความนิยม หรืออาจเป็นภาพยนตร์ทั่วไป หากไม่ได้เป็นผู้กำกับแล้ว ครีเอทีฟโฆษณาอาจเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่เธอจะเลือก
เคล็ด (ไม่) ลับในการเรียนของปราง โดยปกติเธอไม่ได้เน้นหนักเรื่องการเรียน แต่จะตั้งใจเรียนในห้องเป็นหลัก ซึ่งหากเรียนในห้องแล้วมีความเข้าใจในบทเรียนตอนนั้น ก็จะทำให้ไม่เหนื่อยกับการอ่านหนังสือมาก หากบทเรียนมีความยาวมาก พยายามทำความเข้าใจและทบทวนในแต่ละบท
“ปกติเวลาเรียนหนูจะเรียนไปเรื่อยๆ และในการเรียนจะมีการสอบย่อย (Quiz) ซึ่งก่อนสอบย่อยหนูจะต้องเขียนสรุปและทบทวนเนื้อหาก่อนทุกครั้ง และนำเนื้อหาที่สรุปมารวบรวมอ่านอีกครั้งก่อนสอบปลายภาค ทำให้เราไม่ต้องอ่านหนังสือหนักมาก”
ปรางแบ่งเวลาในการอ่านหนังสือเป็นรอบๆ เช่น อ่าน 3 ชั่วโมง พัก 1 ชั่วโมง หากไม่เป็นตามเป้าหมายก็มาเก็บตกทุกอย่างหลัง 6 โมงเย็น ส่วนใหญ่มีสรุปจากสอบย่อยเพื่อสะดวกในการทบทวนและจดจำได้ง่ายขึ้น ในช่วงใกล้สอบ
นอกจากนี้ เธอยังฝากบอกน้องๆ ว่า ให้ตั้งใจสอบโอเน็ตให้มาก เพราะเป็นคะแนนส่วนสำคัญ ที่เด็กส่วนใหญ่มักมองข้าม
สำหรับการให้น้ำหนักโรงเรียนกวดวิชาหรือการเรียนพิเศษนั้น เมื่อเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกันถือว่า “ปราง” เรียนน้อยมากๆ
“บางคนถึงกับลาเรียนเป็นเดือนเพื่อติวเข้มเข้ามหาวิทยาลัย แต่สำหรับปรางเลือกเรียนเฉพาะรายวิชาที่เห็นว่ามีความสำคัญเท่านั้น ส่วนใหญ่เลือกที่จะให้เวลากับตัวเองและการอ่านหนังสือเองมากกว่าการเรียนพิเศษ”
ปราง ทิ้งท้ายว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดหรือเบื้องหลังของความสำเร็จคือ ทุกคนต้องค้นหาตัวเองให้เจอว่าจะเดินทางไปเส้นทางไหน ส่วนน้องๆ ที่มีเวลามากอยากให้ลองกิจกรรมหลายๆ ที่เราชอบ อาจจะเป็นค่ายอาสา การท่องเที่ยว ถ่ายรูป และวางแผนอนาคตไว้ให้ดี
“ส่วนคนที่สอบไม่ได้ก็อย่าเพิ่งเสียใจ เพราะยังสามารถหาประสบการณ์จากทางอื่นได้ เช่น สามารถไปทดลองทำงาน ซึ่งก็เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดีและไม่ทำให้เวลานั้นสูญเปล่า ไม่ว่าอย่างไรก็สามารถกลับมาเรียนต่อได้และอาจเป็นเวลาที่เราค้นหาตัวเองได้เจอ”
อ่านมากเครียด จากเข้าใจกลายเป็นท่องจำ
นอกจากน้องปรางที่ได้คะแนนเป็นอันดับที่ 1 ของประเทศแล้ว อยากเชิญชวนมาทำความรู้จัก นะโม-ชลิพาดุลยากร ซึ่งเก่งไม่แตกต่างกัน และมีวิธีคิดที่น่าสนใจ
น้องนะโม เป็นนักเรียนโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จ.เชียงใหม่ สอบได้คะแนน 89.93 อันดับสองของประเทศ เธอเลือกคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นะโม เล่าถึงความรู้สึกที่ได้คะแนนแอดมิชชั่นเป็นอันดับสองว่า รู้สึกตกใจและดีใจมาก ไม่คิดว่าเด็กต่างจังหวัดจะทำได้คะแนนสูงเช่นนี้
สาเหตุผลที่ “นะโม” เลือกเข้าคณะจิตวิทยา เพราะเชื่อว่าจะสามารถค้นหาตัวเองเจอ โดยเธอยอมรับว่ายังลังเลอยู่ว่าตัวเองชอบหรืออยากเรียนอะไรกันแน่
เคล็ดลับในการเรียนหนังสือของนะโม คือทำปัจจุบันให้ดีที่สุดโดยไม่คิดถึงเรื่องอื่นๆ ก่อน สนใจในเรื่องที่เรากำลังให้ความสำคัญ เช่น ขณะที่เรียนหนังสือก็ควรตั้งใจเรียนให้มากและสนใจในเรื่องนั้นๆ
“การอ่านหนังสือ ไม่ได้อ่านหนังสือในปริมาณมาก เพราะนอกจากจะทำให้เรารู้สึกเครียดแล้ว ยังทำให้รู้สึกว่าเป็นการท่องจำอย่างเดียว” คือเทคนิคความสำเร็จของเธอ
“นะโม” เพิ่งเริ่มอ่านหนังสือเพื่อสอบแอดมิชชั่นอย่างจริงจังตอนขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แต่ไม่ได้ความหมายว่าในช่วงที่ผ่านจะไม่ได้อ่านหนังสือทบทวน เธอมักจะอ่านเรื่องที่สนใจเป็นพิเศษ หากไม่เข้าใจเรื่องใดจะอ่านทบทวนอีกรอบ และที่สำคัญต้องรู้จักวางแผนในการอ่านหนังสือที่สามารถรู้ด้วยตัวเองว่าสมองของเราจะรับได้ ฉะนั้นต้องมีการวางแผนในการอ่านหนังสือที่ดี
“นอกจากนี้ ก็ต้องรู้จักให้รางวัลตัวเอง เช่น หากเราอ่านหนังสือจบเราจะต้องไปออกกำลังกายกับเพื่อนๆ เพราะการออกกำลังกายสามารถช่วยทั้งในเรื่องสุขภาพและลดความเครียดได้ ทั้งยังทำให้รู้สึกผ่อนคลายด้วย”
สำหรับการเรียนพิเศษไหมของ “นะโม” ก็มีการเรียนบ้างแต่ไม่ได้เรียนหลายที่เหมือนเพื่อนหลายๆ คน ส่วนตัวจะเลือกเรียนวิชาสังคม-ไทย และภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นวิชาทั่วไป
สาวเชียงใหม่คนนี้มีความใฝ่ฝันอยากเปิดธุรกิจส่วนตัวเป็นของตัวเอง เพราะว่าจะได้มีเวลาไปทำกิจกรรมอย่างอื่น เช่น อยากไปพัฒนาชุมชน อีกทั้งทำให้มีเวลาอยู่กับครอบครัวด้วย ซึ่งเป็นความฝันเล็กๆ ของนะโม
เลือกเรียนที่เหมาะสมกับตัวเอง
เด็กเก่งคนต่อไปที่อยากแนะนำให้รู้จักคือ จุ๊บ-ศุภิสรา ภัทรสินมโน จากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน กรุงเทพฯ ได้คะแนนร้อยละ 89.85 เป็นอันดับหนึ่งของคณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นอันดับสามของประเทศ
จุ๊บได้พูดถึงความรู้สึกเมื่อทราบว่าได้คะแนนแอดมิชชั่นสูงสุดเป็นอันดับสาม เธอรู้สึกดีใจและตื่นเต้นมาก แต่ที่รู้สึกดีใจไปกว่านั้นคือ ครอบครัวและคนใกล้ชิดมีความสุขไปกับเธอด้วย ครอบครัวให้รางวัลด้วยการพาไปรับประทานอาหารและร่วมพูดคุยกัน
จุ๊บเลือกคณะรัฐศาสตร์ เพราะคิดว่าคณะนี้เป็นการใช้ความรู้จากหลายๆ ศาสตร์มารวมกันเพื่อนำมาวิเคราะห์เข้าความรู้ อีกทั้งเป็นคณะที่เปิดกว้างทางด้านความคิด ทำให้มองโลกได้หลายแง่มุมมากขึ้น และอาจเป็นตัวผลักดันทำให้เรามองอะไรได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น จึงทำให้อยากเรียนคณะนี้มากกว่าคณะอื่นๆ
ลองถามจุ๊บว่าจบสายวิทย์-คณิต ทำไมไม่เลือกเรียนแพทย์ เธอตอบทันทีว่า ไม่เหมาะสมกับตัวเอง
“หมอก็เคยเป็นอาชีพที่จุ๊บใฝ่ฝันในตอนเด็ก เพราะในตอนนั้นคิดว่าอยากจะช่วยเหลือผู้คนให้หายจากอาการป่วย แต่เมื่อโตขึ้นจุ๊บก็คิดว่าการช่วยเหลือผู้คนอาจไม่ใช่อาชีพหมอหรือพยาบาลเพียงอย่างเดียว แต่อาจยังมีอีกหลายอาชีพที่สามารถช่วยเหลือผู้คนได้ และตอนเรียนก็รู้สึกชอบวิชาสังคมมากกว่า จึงอยากลองค้นหาตัวเองอีกครั้ง”
เธอวาดอนาคตหลังเรียนจบคณะรัฐศาสตร์ว่า อยากทำงานให้องค์กรระหว่างประเทศ เช่น ทำงานในองค์การสหประชาชาติ (UN) เพราะอยากเดินทางไปช่วยเหลือผู้คนที่ไม่ได้จำกัดภายในประเทศอย่างเดียว หรือไม่งั้นก็ช่วยประสานงานทำให้คนประเทศอื่นรู้จักประเทศไทยมากขึ้น และให้เหตุผลว่าตอนนี้โลกของเราก็เป็นยุคโลกาภิวัตน์ที่ผู้คนสามารถเดินทางไปได้ทั่วโลก
นอกจากการเรียนในห้องเรียนแล้ว ส่วนตัวเธอเป็นคนที่ไม่ชอบเรียนพิเศษ แต่ได้เรียนพิเศษบ้างและเลือกลงคอร์สที่เห็นว่าสำคัญกับการสอบ เช่น เรียนโอเน็ต เรียนแกตเชื่อมโยงภาษาไทยและสังคม-ไทย หรือลงเรียนเป็นคอร์สพิเศษเจาะจงที่สามารถนำมาใช้ในการสอบได้ ในบางคอร์สจะมีการค้นคว้าเนื้อหานอกบทเรียนให้ด้วย
“จุ๊บคิดว่าการเรียนพิเศษไม่มีความจำเป็นมาก เพราะหากเราตั้งใจเรียนในห้องให้ดีเราจะทำข้อสอบได้”
สำหรับวิธีการเรียนของจุ๊บ คือตั้งใจเรียนในห้องและไม่เครียดจนเกินไป มีเรียนบ้างเล่นบ้างเพื่อให้เข้ากับเพื่อนคนอื่นได้ ขณะเรียนหากเกิดข้อสงสัยหรือไม่เข้าใจในบทเรียนให้ถามครูผู้สอน อย่ากลัวที่จะถามและซักถามให้มาก โดยเธอมองว่าเด็กสมัยนี้ไม่ค่อยชอบถามครูผู้สอน ก็อยากฝากตรงนี้ด้วย
แม้ว่าจะเป็นช่วงสอบ “จุ๊บ” ก็อ่านหนังสือไม่หนักมาก เพราะเธอไม่อยากให้เกิดความเครียดกับตัวเองมากเกินไป และคิดว่าหากเราตั้งใจเรียนในห้องเรียนจะทำให้การอ่านหนังสือของเราเข้าใจเนื้อหามากขึ้น หากไม่เข้าใจเนื้อหาส่วนไหนก็จะมุ่งอ่านบทนั้นเป็นพิเศษ
ทางครอบครัวของน้องจุ๊บไม่ได้บังคับว่าจะต้องเรียนอะไร แต่จะคอยสนับสนุน ให้คำปรึกษามากกว่า และคอยผลักดันความถนัดของเธอ
แล้ววางแผนอ่านหนังสือในช่วงสอบอย่างไร? เธอตอบว่า ต้องจัดลำดับการอ่านหนังสือตามความถนัดของตัวเอง เช่น จุ๊บจะไม่ถนัดในวิชาคำนวณ แต่จะถนัดวิชาทางสังคมและภาษามากกว่า ซึ่งจะเลือกอ่านสิ่งที่ตนเองให้มากและอ่านวิชาที่ไม่ถนัดให้น้อย แต่ไม่ใช่ว่าไม่อ่านเลย เพราะว่าหากเราทำสิ่งที่เราชอบเรามักจะทำได้ดี และพยายามผลักดันจุดนี้ให้ถึงที่สุด นั้นจะทำให้เราสามารถแข่งขันกับคนอื่นได้
หากอ่านหนังสือแล้วเครียดทำอย่างไร? เธอตอบกลับว่า พอเครียดมากก็จะเดินไปขอกำลังใจจากคุณพ่อคุณแม่ เช่น การกอดหรือการหอม ไม่ก็ว่านั่งพูดคุย เพราะครอบครัวก็เป็นสิ่งสำคัญและสามารถเข้าใจในตัวเรา ต่อมาก็คุยกับเพื่อนเพื่อระบายความเครียดหรือทำกิจกรรมที่เราชอบ เช่น ฟังเพลง ท่องอินเทอร์เน็ต และใช้ชีวิตตามวัยรุ่นทั่วไป
ข้อแนะนำสำหรับเพื่อนๆ เธอบอกว่า อยากให้ทำตามความฝันของตัวเอง หากเลือกคณะได้แล้วให้ดูแนวทางการสอบว่าเป็นอย่างไรบ้าง และหากสอบติดในหลายคณะ ให้เลือกคณะที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด
“นอกจากนี้ ทุกคนไม่ได้เก่งสมบูรณ์รอบด้าน อยากให้เสริมจุดเด่นของตนเองให้มันเด่นขึ้นมา และไม่จำเป็นที่จะต้องเก่งทุกอย่าง จงเลือกสิ่งที่เหมาะกับเรามากที่สุด สำหรับเพื่อนที่แอดฯ ไม่ติด อย่าเพิ่งท้อ เพราะมหา’ลัย ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต แต่เป็นแค่เพียงก้าวหนึ่งของชีวิต ซึ่งทุกคนไม่จำเป็นที่จะต้องประสบความสำเร็จจากการจบมหา’ลัย เพราะคนที่ไม่ได้เรียนต่อไม่ได้แปลว่าคนที่ไม่เก่ง และอย่าลืมที่จะค้นหาตัวเองเลือกทำในสิ่งที่เรารักดีที่สุด”
ต่อยอดจุดแข็งให้แกร่งขึ้น
คะแนนอันดับหนึ่งของคณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เจ้าของคะแนนร้อยละ 87.64 เป็นอันดับที่สี่ของประเทศ คือ เฟรนด์-กันต์กนิษฐ์ นัยจิต นักเรียนโรงเรียนสตรีวิทยา กรุงเทพฯ
เด็กเก่งคนนี้มีความชื่นชอบภาษาอังกฤษเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เนื่องจากมองว่าเป็นภาษาที่สามารถใช้สื่อสารได้ทั่วโลก และนำไปต่อยอดประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตประจำวันได้ ที่สุดแล้วจึงเลือกคณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ
“ตอนที่เลือกครั้งแรกก็ยังไม่ได้คิดถึงอนาคต คิดว่าภาษาอังกฤษน่าจะมีอาชีพและสามารถทำงานได้กว้าง แล้วก็ยังไม่ได้คิดว่าอยากจะทำงานอะไร แต่อยากลองเรียนไปก่อน แล้วค้นหาตัวตนที่แท้จริงแล้วเราอาจจะเจออาชีพที่เราอยากทำก็ได้”
ความสำเร็จในการเรียนของ “เฟรนด์” คือการบริหารความเคร่งเครียดไม่ให้มากจนเกินไป นั่นเพราะจะทำให้สภาพร่างกายและจิตใจรับไม่ไหว สำหรับการอ่านหนังสือก็จะอ่านเรื่อยๆ ไม่หนักจนเกินไปหรือไม่น้อยจนเกินไป และหาเวลาว่างในการอ่านหนังสือ หลังจากการอ่านหนังสือก็ควรหากิจกรรมที่ตัวเองชื่นชอบ เช่น ดูซีรี่ส์แก้เครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ
สำหรับการเรียนพิเศษกวดวิชา “เฟรนด์” เลือกเรียนในวิชาที่ตัวเองชื่นชอบเพื่อต่อยอดความรู้ คือเรียนวิชาภาษาอังกฤษตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งการเรียนพิเศษจนทำให้รู้มากขึ้น เป็นแรงผลักดันให้เธอเรียนต่อวิชาภาษาอังกฤษต่อไปด้วย
“อยากฝากถึงน้องๆ หรือเพื่อนๆ ว่า เราไม่ควรจะอ่านหนังสือให้เครียดจนเกินไป แนะนำให้อ่านเรื่อยๆ มากกว่า เพราะถ้าหากเราอ่านอย่างเคร่งเครียดมากเกินไป อาจจะทำให้เกิดความรู้สึกกดดัน และหากมันไม่ได้เป็นไปตามเป้า เราก็อาจจะเกิดความผิดหวังมาก” เธอทิ้งท้าย
การอ่านคือบันไดก้าวแรกสู่ความสำเร็จ
เด็กเก่งคนสุดท้ายที่ @Weekly ฉบับนี้ พาไปรู้จักคือ นอต-เกษมสันต์ ชุ่มชาติ นักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพฯ คะแนนสอบร้อยละ 83.98 อันดับห้าของประเทศ
“ผมเรียนจบสายวิทย์-คณิต และชื่นชอบวิชาคณิตศาสตร์ ชอบการคำนวณมาก และชอบงานที่เป็นระบบ”
จากความชอบตรงนี้ทำให้เขาเลือกเรียนต่อคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นอต เล่าว่า อยากเป็นนักบัญชี เพราะเป็นอาชีพที่ชอบและคิดว่าน่าจะทำได้ดีที่สุด ซึ่งครอบครัวก็ให้กำลังใจและได้ให้เรียนกวดวิชาตามปกติ ที่ดีที่สุดคือครอบครัวคอยให้คำปรึกษาด้านการเรียน และการเลือกคณะเรียนอย่างใกล้ชิด แต่ก็ไม่เคยบังคับหรือตีกรอบให้
สิ่งที่นอตแตกต่างกับเด็กเก่งคนอื่นๆ ก็คือ นอตเรียนพิเศษค่อนข้างหนัก เรียกได้ว่าเรียนเกือบทุกวิชา ยกเว้นภาษาอังกฤษ เพราะคิดว่ามีความเข้าใจในห้องเรียนอยู่แล้ว แต่จะเน้น ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ สังคม ไทย และคณิตศาสตร์
นอต บอกว่า การเรียนพิเศษช่วยค่อนข้างมาก แต่เราก็ต้องหมั่นหาโจทย์ทำ หาข้อมูลเพิ่มเติมหลังเลิกเรียนด้วย
เคล็ดลับในการเรียนของนอต คือ ตั้งใจเรียนในห้องเรียนให้มากและทบทวนบทเรียนเป็นประจำ ซึ่งโรงเรียนของนอตไม่ค่อยสั่งการบ้านมากนัก จึงได้มีเวลาทบทวนบทเรียนมากขึ้น
สำหรับวางแผนในช่วงสอบ “นอต” พยายามอ่านให้ครบทุกวิชา โดยเฉลี่ยให้เท่าๆ กัน ที่สำคัญต้องรู้จักการแบ่งเวลาให้ถูก หากเครียดจากการอ่านหนังสือให้หากิจกรรมทำ เช่น การเล่นอินเทอร์เน็ต ฟังเพลง
สุดท้ายนี้ เด็กหนุ่มคนนี้ก็อยากให้น้องๆ รุ่นต่อไป มีความตั้งใจในการอ่านหนังสือสอบ เพราะหากเรารู้จักอ่านหนังสือก็เป็นบันไดก้าวหนึ่งสำหรับบันไดขั้นต่อไปแล้ว และสำหรับคนที่แอดมิชชั่นไม่ติด “นอต” ฝากบอกว่า ไม่ต้องเครียด เพราะยังมีอีกหลายมหาวิทยาลัยที่ยังสามารถรับเราได้อีก และก็ยังมีโอกาสปีหน้า ซึ่งมันก็ยังไม่สายสำหรับการเรียน


