posttoday

‘ไทยแลนด์’ แดนสวรรค์ของชาวเรา

11 มิถุนายน 2558

โดย...อาร์ต ภาพ คลังภาพโพสต์ทูเดย์

โดย...อาร์ต ภาพ คลังภาพโพสต์ทูเดย์

ที่เขาว่าประเทศไทยเป็นแดนสวรรค์ของเพศที่สาม หรือเป็นเมืองที่มีพื้นที่สีเขียวสำหรับชาวเกย์นั้น เป็นคำพูดที่เกินจริงหรือไม่ คำกล่าวนี้เชื่อได้แค่ไหน มีอะไรเป็นข้อพิสูจน์...เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเราในการไปหาคำตอบเพื่อมาคอนเฟิร์ม
คำกล่าวที่ว่านี้

เริ่มจากผลสำรวจของเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นหาคู่ชื่อดังสำหรับเกย์ก่อนเลย นั่นคือ แพลนเน็ต โรมิโอ (Planet Romeo) ซึ่งได้เผยผลสำรวจดัชนีความสุขของเกย์ทั่วโลกจากการสอบถามเกย์กว่า 1.15 แสนคน จาก 127 ประเทศทั่วโลก โดยมีหลักพิจารณาจากปัจจัยพฤติกรรมในการดำเนินชีวิต ทัศนคติ และพฤติกรรมของคนในสังคมที่มีต่อเกย์ ตลอดจนความพึงพอใจในการใช้ชีวิตของเกย์ในประเทศนั้นๆ

พบว่า อันดับ 1 ของประเทศที่เกย์อยู่แล้วมีความสุขที่สุดในโลกก็คือ ไอซ์แลนด์ ตามด้วยอันดับ 2 คือ นอร์เวย์ และอันดับ 3 คือ เดนมาร์ก ส่วนประเทศไทยติดอันดับที่ 16 ซึ่งถือเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกที่ติด 1 ใน 20 อันดับแรกของโลก และรั้งอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก โดยมีเกย์กว่า 1,549 คนมาร่วมสำรวจ

มีข้อมูลอ้างอิงชัดเจนขนาดนี้ แต่หากใครยังมีข้อกังขาอยู่ละก็ ลองไปฟังทัศนะจากชาวต่างชาติที่มาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทย ทั้งเพื่อทำงานและเพื่อทำธุรกิจดูสักหน่อย

โทนี่ คิง และ แอนดรูว์ ไล

คู่รักชาวเรา

โทนี่ เผยว่า ก่อนหน้าที่จะมาลงทุนทำธุรกิจเปิดร้านอาหารสไตล์ฟิวชั่น (ร้านบั๊ก แอนด์ บี) ที่เมืองไทย เขาและแอนดรูว์เคยมาเที่ยวเมืองไทยปีละ 10 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 7 ปีได้ เพราะเมืองไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามทั้งภูเขา ทะเล และเกาะต่างๆ นอกจากนี้คนไทยยังมีนิสัยที่เป็นมิตร แถมอาหารไทยยังอร่อยไม่เป็นรองชาติใดในโลกอีกด้วย

‘ไทยแลนด์’ แดนสวรรค์ของชาวเรา

 

“สิ่งที่ผมชอบอีกอย่างก็คือวิธีการใช้ชีวิตของคนไทย เพราะดูสบายๆ ไม่ต้องตื่นเต้น ไม่ต้องรีบร้อนมาก อย่างฮ่องกงที่ผมอยู่ จังหวะชีวิตของผู้คนจะเร่งรีบกว่านี้มาก ซึ่งมันดูเครียดเกินไป แต่ที่เมืองไทยจะดูชิลมาก การที่เรามาเปิดร้านอาหารในกรุงเทพฯ เพราะพวกเราชอบชิมอาหารตามที่ต่างๆ โดยเฉพาะอาหารสไตล์ฟิวชั่นนี่จะยิ่งชอบเป็นพิเศษ

โชคดีว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนตึกนี้ถูกปล่อยให้เช่าที่สีลม ผมและแอนดรูว์เลยตัดสินใจมาเปิดร้านตรงนี้ ซึ่งช่วงนั้นลูกค้าเยอะทั้งกลางวัน เย็น และกลางคืน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มเกย์ แม้ความตั้งใจเดิมเราไม่ได้ตั้งเป้าหมายให้เป็นกลุ่มลูกค้าเกย์เป็นหลัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีลูกค้าชาวสีม่วงกว่า 50% ผมจึงคิดว่าเมืองไทยเป็นที่ที่อยู่แล้วแฮปปี้จริงๆ”

ขณะที่ แอนดรูว์ บอกว่า เมืองไทยเป็นประเทศที่เปิดรับเกย์เป็นอย่างมาก อยู่แล้วสบายใจ…“รู้มั้ยว่าพนักงานในร้านของเรา มีทั้งเกย์ ทอม และกะเทยเลยนะ เพราะเราเปิดกว้างรับพนักงานทุกเพศโดยไม่เคยกีดกัน เราจะดูที่ความสามารถของพวกเขาซะมากกว่า ซึ่งพนักงานทุกคนในร้านก็สามารถทำงานร่วมกันได้ดีและยอมรับในตัวตนของกันและกัน แต่ในบางประเทศพนักงานชาวสีม่วงเหล่านี้อาจจะถูกสกรีนในเรื่องการทำงานอย่างเข้มข้นมากกว่านี้ หรือรับเข้าทำงานได้ยากกว่า ซึ่งงานบริการนั้นยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นพนักงานบริษัทนี่จะยากมาก”

โทนี่ เล่าว่า เขาเคยใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐมากว่า 20 ปี จึงรับรู้ถึงการเหยียดหรือกีดกันในเรื่องเพศที่สามเป็นอย่างดี เมื่อก่อนนี้ที่ฮ่องกงบ้านเกิดของเขาก็ไม่ค่อยจะเปิดรับเกย์หรือเพศที่สามมากนัก แต่ปัจจุบันนี้เริ่มค่อยๆ เปลี่ยนไป รวมทั้งที่สหรัฐด้วย ที่บางรัฐได้ออกกฎหมายให้เกย์ เลสเบี้ยน หรือชาวรักร่วมเพศสามารถแต่งงานและจดทะเบียนสมรสกันได้ จะมีก็แค่บางรัฐเท่านั้นที่ยังแอนตี้เพศที่สามอยู่

‘ไทยแลนด์’ แดนสวรรค์ของชาวเรา

 

“สำหรับเมืองไทย ผมคิดว่าไม่ค่อยมีการแอนตี้เกย์สักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่พอคนทั่วไปเห็นผู้ชายสองคนเดินจูงมือกัน เขาก็แค่มองและอาจซุบซิบกันบ้าง แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางรังเกียจหรือเหยียดเพศให้เห็น หญิงรักหญิงก็สามารถแสดงออกต่อกันในที่สาธารณะได้โดยไม่ต้องกลัวอะไร แต่ที่สิงคโปร์ทำแบบนี้ไม่ได้นะ เพราะอาจจะถูกจับ

ด้านจีนนั้น การไม่ยอมรับเรื่องเกย์ยังถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่ว่าเวลาผู้ชายจีนจับมือกัน คนส่วนใหญ่ก็จะไม่ได้คิดว่าคนทั้งคู่เป็นเกย์ อันนี้อาจขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของเขาที่อาจไม่มีต้นแบบให้รับรู้ว่า ผู้ชายจับมือกันนี่คือคู่เกย์นะ ซึ่งผิดกับที่ฮ่องกง ถ้าเห็นผู้ชายสองคนจับมือกัน คนส่วนใหญ่ก็จะรู้ได้โดยอัตโนมัติ”

โทนี่ เสริมว่า การที่ตัวเขามาทำธุรกิจและมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยกว่าสิบปีนั้น เขามีความพึงพอใจเป็นอย่างมาก ถ้าให้เทียบออกมาก็ให้คะแนนถึง 80% พูดง่ายๆ ว่าการใช้ชีวิตทุกอย่างที่เมืองไทยนั้นลงตัว ทั้งเรื่องการงาน มิตรภาพจากเพื่อน และการเอนเตอร์เทนเมนต์ในชีวิต

แอนดรูว์ บอกว่า เมืองไทยเป็นที่ที่อยู่แล้วมีความสุขมาก เพราะเขาเองเคยอยู่และทำงานที่ฮ่องกงมาก่อน ฮ่องกงเป็นเมืองที่มีสถานที่จำกัด ไม่ว่าจะที่พักอาศัย ที่กิน หรือที่เที่ยวก็ตาม พื้นที่สำหรับตัวเรานั้นจะน้อยมาก อยู่นานๆ ไปแล้วรู้สึกเครียดและอึดอัด

‘ไทยแลนด์’ แดนสวรรค์ของชาวเรา

 

“ผิดกับที่เมืองไทยที่ผมมาอยู่แล้วมีสเปซให้ตัวเองมากขึ้น จะพักเป็นบ้านหรือคอนโดก็มีพื้นที่มากกว่าที่ฮ่องกง รู้สึกเครียดน้อยกว่า และยังสนุกสนานกับการใช้ชีวิตมากกว่าด้วย ค่าครองชีพก็ถูกกว่า จึงรู้สึกว่าอยู่ที่เมืองไทยแล้วมีความสุขมากกว่า สำหรับผมแล้วให้คะแนนความพึงพอใจในการใช้ชีวิตที่เมืองไทย 80% เช่นกัน”

ทั้งคู่ทิ้งท้ายว่า คนไทยส่วนใหญ่นั้นให้การยอมรับชาวรักร่วมเพศอยู่แล้ว ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติ ตามวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของคนไทย ดังนั้นเกย์ไทยจึงไม่จำเป็นต้องออกมาเรียกร้องอะไรกันมากมาย ผิดกับที่สหรัฐหรือประเทศอื่นๆ ที่บางครั้งกลุ่มรักร่วมเพศกลับจากเที่ยวบาร์หรือสถานบันเทิงดึกๆ ก็โดนดักตี โดนดักทำร้าย จนต้องมีการออกมาเรียกร้องสิทธิและเรียกร้องให้ออกกฎหมายคุ้มครองชาวรักร่วมเพศให้เห็นมากกว่าที่เมืองไทย ทั้งคู่จึงรู้สึกว่าเกย์ไทยโชคดี และเมืองไทยก็ถือเป็นพื้นที่สีเขียวหรือเป็นดั่งสวรรค์ของชาวเกย์อีกแห่งหนึ่งในโลกเลยก็ว่าได้

แฟรงค์ ครูสอนภาษา วัย 42

แฟรงค์ ครูสอนภาษาประจำโรงเรียนนานาชาติชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ให้ความเห็นว่า เมืองไทยเป็นประเทศที่คนในสังคมเปิดใจรับชาวเพศที่สามได้มากกว่าอีกหลายประเทศ “อย่างสหรัฐบ้านเกิดผม ในบางรัฐก็ยังมีการต่อต้านเพศที่สามอยู่บ้าง ผมเองยอมรับว่าตัวเองเป็นเกย์ (ไม่แสดงออก) แต่เท่าที่เป็นครูสอนภาษาที่เมืองไทยมาหลายปี ชีวิตก็แฮปปี้ ไม่มีปัญหาอะไร

ผมสังเกตว่าเด็กไทยใจกว้าง อย่างมีครูสอนภาษาไทยชื่อดังคนหนึ่งเป็นผู้หญิงข้ามเพศ แต่เธอสอนนักเรียนเก่งมาก ถ่ายทอดความรู้ได้ดี ช่วยให้เด็กสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีละหลายคน ซึ่งเด็กไทยส่วนใหญ่ก็ให้ความเคารพและยกย่องเธอดี เพราะพวกเขามองตัวงานที่เธอทำมากกว่าเพศสภาพที่เธอเป็น ซึ่งถ้าเป็นเด็กอเมริกันนี่จะอีกเรื่องนึงเลยละ ผมจึงคิดว่าเมืองไทยเป็นประเทศที่เป็นมิตรต่อชาวเพศที่สามจริงๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นเกย์หรือเลสเบี้ยน คุณก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุข”

‘ไทยแลนด์’ แดนสวรรค์ของชาวเรา

 

ปีเตอร์ พนักงานบริษัทข้ามชาติ วัย 35

“ผมเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ของบริษัทแห่งหนึ่ง ผมมาจากประเทศออสเตรเลีย โดยมาอาศัยอยู่ที่เมืองไทย 3 ปีแล้ว ผมรู้สึกว่าสังคมไทยมีทัศนคติที่ดีต่อเพศที่สาม แล้วยังไม่แอนตี้หรือดูถูกเหยียดหยามด้วย คล้ายๆ กับเมืองซิดนีย์ที่ผมโตมา ซึ่งเกย์หรือเพศที่สามจะมีอิสระทางความคิด มีสิทธิในการใช้ชีวิตเท่าเทียมกับผู้หญิงและผู้ชายปกติ ซึ่งสิ่งนี้ผมว่าเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว ที่สำคัญเมืองไทยยังอาหารอร่อย และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามมากมายซึ่งถูกใจผมมาก เพราะผมเป็นคนชอบเที่ยว ถ้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่ผมจะชอบไปเชียงใหม่ ภูเก็ต และที่อื่นๆ ผมรักเมืองไทยครับ”

เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา หากใครมีโอกาสผ่านไปแถวๆ จุดเล่นน้ำอย่าง ถนนสีลม ถนนข้าวสาร และจุดอื่นๆ ทั่วกรุงเทพฯ แล้วลองสังเกตดีๆ ด้วยสายตา จะเห็นว่าสงกรานต์ปีนี้จำนวนประชากรชาวสีม่วงดูเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนหนาตา โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ถึงกับชักชวนกันบินมาเพื่อร่วมงานเกย์ ไพรเวท ปาร์ตี้ชื่อดังงานหนึ่งซึ่งเปรียบเสมือนแม่เหล็กดึงดูดชาวสีม่วงทั่วเอเชียและทั่วโลกให้มาเมืองไทย เรื่องนี้เห็นทีต้องไปพูดคุยกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง

‘จี เซอร์กิต’ ปาร์ตี้สุดเดิร์น

เฉพาะกลุ่มชาวสีม่วง

แรกเริ่มเดิมทีแล้วเกย์ ไพรเวท ปาร์ตี้ “จี เซอร์กิต” (G Circuit) เป็นงานที่เว็บไซต์ฟรายเดย์ (Fridae) ซึ่งเป็นเว็บไซต์และคอมมูนิตี้สำหรับชาวสีม่วงของสิงคโปร์เป็นผู้จัดขึ้น แต่ด้วยปัญหาทางด้านกฎหมายและสังคม งานปาร์ตี้ จี เซอร์กิต จึงย้ายมาจัดที่เมืองไทย ซึ่งน้อยคนนักที่จะรู้ว่า จี เซอร์กิต นั้นเป็นลิขสิทธิ์ของไทยที่มีชาวไทยเป็นเจ้าของ เราลองไปฟัง “สุเมธ ศรีเมือง” กรรมการผู้จัดการ บริษัท จี เซอร์กิต พูดถึงเรื่องนี้กัน

‘ไทยแลนด์’ แดนสวรรค์ของชาวเรา

 

“งานปาร์ตี้ ‘จี เซอร์กิต’ เป็นปาร์ตี้เฉพาะกลุ่มของชาวสีม่วงที่ บริษัท จี เซอร์กิต ของเราจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ของเดือน เม.ย. ก่อนสงกรานต์ที่ผ่านมาเราก็จัดงานขึ้นในวันที่ 10-12 เม.ย. 2558 โดยจัดที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ สามวันซ้อน มีลูกค้ากลุ่มเกย์ทั้งฝรั่งและเอเชียให้ความสนใจบินมาร่วมงานปาร์ตี้กว่า 8,000 คน ซึ่งในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานี้ก็มีเกย์ไทยให้ความสนใจเข้าร่วมงานกันมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน”

สุเมธ บอกว่า ธีมหรือฟอร์แมตของงานปาร์ตี้จะเป็นไพรเวทปาร์ตี้เฉพาะกลุ่ม ที่เน้นแสง สี เสียง สุดอลังการ โดยมีดีเจชั้นนำระดับโลกที่โด่งดังในหมู่เกย์มาเปิดแผ่นมิกซ์เสียงเพลงให้เป็นปาร์ตี้ที่สนุกสนานสุดเหวี่ยง มีกิมมิกของงานเป็นหนุ่มหล่อหุ่นล่ำคอยสร้างสีสันอยู่ทั่วไปในงาน มีโชว์สุดอลังการน่าตื่นตาบนเวทีมากมาย

“คือแต่ก่อน งาน จี เซอร์กิต นี้เว็บไซต์ฟรายเดย์ของสิงคโปร์เป็นผู้จัดงานอยู่ 2 ปี หลังจากนั้นทางบริษัทของเราก็รับมาจัดงานเอง โดยจัดติดต่อกันมา 7 ปีแล้ว รวมทั้งหมดก็ 9 ปี ซึ่งปีหน้า (ปี 2559) จะเป็นการจัดงานฉลองครบรอบ 10 ปีของเรา รับรองว่างานต้องอลังการแน่นอน ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารและเตรียมซื้อบัตรได้ที่ Facebook.com/gcircuit”

‘ไทยแลนด์’ แดนสวรรค์ของชาวเรา

จากงานเกย์ ไพรเวท ปาร์ตี้ ที่ได้รับฟีดแบ็กดีเกินคาด เราจึงอยากฟังความคิดเห็นของสุเมธ ซึ่งเป็นผู้คร่ำหวอดในแวดวงชาวสีม่วง ว่ามีความเห็นอย่างไรกับคำพูดที่ว่า “เมืองไทยเปรียบเหมือนดั่งสวรรค์ของชาวเกย์”

“ผมเห็นด้วยกับคำพูดนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะอย่างที่ทราบว่าเมืองไทยเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกที่ติดอันดับ 1 ใน 20 (ติดอันดับ 16) ของประเทศทั่วโลกที่เกย์อยู่แล้วมีความสุขที่สุด เพราะจากการที่ผมคลุกคลีกับเพื่อนชาวต่างชาติมานาน เกย์ต่างชาติส่วนใหญ่จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาชอบประเทศไทย เพราะคนไทยอัธยาศัยดี อาหารก็อร่อย แหล่งช็อปปิ้งก็เยอะ ไทยมาสสาจ (นวดไทย) ก็เยี่ยม แล้วเมืองไทยยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม ทั้งทะเล เกาะต่างๆ ภูเขา รีสอร์ท และโรงแรมที่พักซึ่งล้วนให้บริการดีเลิศและแสนจะเป็นมิตรกับเกย์”

สุเมธ เสริมว่า มีเกย์หลายคนทั้งฝรั่งและเอเชียถึงกับบอกว่า พวกเขาวางแผนจะมาใช้ชีวิตหลังเกษียณกันที่เมืองไทย เนื่องจากค่าครองชีพถูก แถมคนไทยส่วนใหญ่ยังยอมรับและไม่รังเกียจหรือแอนตี้ชาวเกย์อีกด้วย

“อย่างตัวผมเองก็คบกับคนรักชาวสิงคโปร์ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนบริษัทมากว่า 17 ปีแล้ว ซึ่งในอนาคตถ้าเมืองไทยจะมีกฎหมายเรื่องการจดทะเบียนสมรสของคู่เกย์หรือคู่รักเพศเดียวกัน ผมก็เห็นด้วยนะ หากกฎหมายนี้ผ่านการอนุมัติแล้ว ผมกับแฟนคิดไว้ว่าจะรีบพากันไปจดทะเบียนสมรสทันที”

ข่าวล่าสุด

ทร.แจงไม่ได้ข่มขู่กัมพูชา ย้ำใช้กลไกทวิภาคีปมเขื่อนกันคลื่น