2558 ‘ฉลุย’ (กำลัง) จะกลับมา
กลับมาแล้ว กลับมาจริงๆ ไม่ได้เต้าข่าว หรือพูดลอยๆ “ฉลุย” (กำลัง) จะคัมแบ็ก!!!
โดย...แจนยูอารี
กลับมาแล้ว กลับมาจริงๆ ไม่ได้เต้าข่าว หรือพูดลอยๆ “ฉลุย” (กำลัง) จะคัมแบ็ก!!!
ยืนยันชัดๆ ชัวร์ๆ “ฉลุย” จะถูกนำมาสร้างใหม่ ภายใต้ชื่อ “ฉลุย แตะขอบฟ้า” จากปากนายทุนค่ายทรานส์ฟอร์เมชั่นฟิล์ม “สง่า ฉัตรชัยรุ่งเรือง” สำทับด้วยผู้กำกับ“อดิเรก วัฏลีลา”
“คนยุคฉลุย” อย่างเราๆ ท่านๆ (ลองนับไล่อายุกันเอาเองนะจ๊ะว่าใครบ้างคือคนยุคฉลุย) เตรียมเฮดังๆ ได้เลยได้ดูกันแน่นอน หลังต้องทนคิดถึง “ป๋อง” กับ “โต้ง” มาอย่างยาวนานนนน
คำถามคือว่า ฉลุยจะกลับมาแนวไหน ไม้เด็ดไม้ตายคืออะไร จะเล่าถึงใครและอะไรเป็นแกนหลัก มากกว่านั้นแล้วคนยุคนี้จะอินหรือไม่กับการกลับมาของฉลุย
ต่อให้มโนไปต่างๆ นานา ก็ไม่มีประโยชน์ ใครคงให้คำตอบและช่วยขยายภาพ “ป๋อง” กับ “โต้ง” ไม่ได้ดีเท่าผู้กำกับแน่นอน
ประโยคแรกเขาเปรยกับเราอย่างมีนัยว่า “ฉลุย แตะขอบฟ้า” จะเป็นการเอาความลับของ “ฉลุย” มาบอก ความลับของคนที่จะประสบความสำเร็จ ที่ไม่แค่นั่งฝันนอนฝันแต่ต้องลงมือทำด้วย
“ความตั้งใจแรกที่ผมนำกลับมาสร้างใหม่ ก็เพื่อมอบความบันเทิงครับ แต่ฉลุย แตะขอบฟ้า มีส่วนประกอบของสารสกัดชนิดหนึ่งที่ทำให้ผู้คนที่กำลังหมดแรงท้อแท้ให้มีพลังที่จะเดินหน้าสู้ชีวิตต่อไป ส่วนตัวผมคิดว่าคอนเซ็ปต์ของฉลุย มันใช่กับผู้คนในยุคโซเชียลเน็ตเวิร์กนี้มากๆ ถ้าใครเคยเล่นเฟซบุ๊ก เล่นอินสตาแกรม หรือไลน์ จะเห็นว่าในแต่ละวันจะมีข้อความเชิงตัดพ้อท้อแท้และหมดกำลังใจ เพราะไม่สมหวังทั้งงานและชีวิตต่างๆ ตัวละครโต้งกับป๋อง เป็นพวกขี้แพ้ เป็นคนที่ไม่มีต้นทุนทางสังคมอะไรเลย เป็นพวกกากๆ เป็นคนที่ไม่มีคุณค่า แม้แต่หมาก็ยังไม่มอง ไม่มีใครเห็นความสามารถ ซึ่งมันอาจจะไม่มีความสามารถจริงๆ ก็ได้นะ แต่มันสู้ไงครับ มันต้องการแค่โอกาส คนมีความฝัน มันห้ามกันไม่ได้หรอกครับ มันไม่มีตังค์ ไม่ได้แปลว่าไม่มีฝีมือ ถึงจะไม่มีตังค์ แต่ก็มีหัวใจ ประมาณว่าเงินมีแค่ร้อย แต่ใจมีเกินล้าน ก็ไปดุ่ยๆลุยด้วยหัวใจ เพราะงั้นตรงเนี้ยมันทำให้พอคนดูแล้วเขาจะรู้สึกได้ จับต้องได้ คิดต่อได้อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ อย่าเพิ่งท้อ ล้มแล้วพอหายมึนก็ลุกขึ้นมาใหม่ได้”
โปรเจกต์ทำหนังภาคต่อนี้ ไม่ใช่โปรเจกต์แรกที่ผู้กำกับดังนำเสนอต่อนายทุน “ดีแตก 2”คือสิ่งที่เขาอยากทำ แต่กลายเป็นว่านายทุนเซย์โน แล้วไฟเขียวให้ “ฉลุย แตะขอบฟ้า”ผ่านฉลุยตามชื่อ มากกว่านั้นยังเป็นโปรเจกต์ไปแตะขอบฟ้า (เหมือนชื่ออีกละ) เมื่อมีการจับมือกับค่ายบันเทิงยักษ์แดนกิมจิ “ซีเจ เอนเตอร์เทนเมนต์” ถ่ายทำที่เกาหลี แถมยังได้นักร้องหน้าใส “นิชคุณ หรเวชกุล” ร่วมแสดง
“พอมีนิชคุณมาร่วมแสดง โลเกชั่นถ่ายทำที่เกาหลีก็เลยจำเป็นต้องมีพาร์ตเนอร์ครับ ซีเจทำงานบันเทิงครบวงจรอยู่แล้ว เหมาะมากที่จะมาเป็นผู้ร่วมทุน เพื่อให้งานออกมายิ่งใหญ่และสมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่ผมฝันไว้ จะได้เป็นโอกาสให้หนังฉลุยไปเผยแพร่ในหลายๆประเทศได้ไม่ยาก”
แฟนๆ ได้ยินชื่อซุป’ตาร์นิชคุณ คงยิ้มหราแล้วว่าฉลุยเวอร์ชั่นนี้เตรียมกระเป๋าใส่เงินไว้รอเลย นอกจากนั้น ในหนังยังคว้า 2 นักแสดงวัยรุ่นไฟแรง “เจสซี่-เมฆเมฆวัฒนา” และ “นิกกี้-ณฉัตร จันทพันธ์” มารับบทเด่นเป็น “ป๋อง” กับ “โต้ง” โดยมี 2 นักแสดงเวอร์ชั่นแรก“บิลลี่ โอแกน” กับ “สุรศักดิ์ วงษ์ไทย” เพิ่มสีสันฐานะนักแสดงรับเชิญให้คนยุคฉลุยฟ้นื ความทรงจำ กันอีกครั้ง“จะทำทั้งที ถ้าทำเหมือนเดิมๆ ก็ดูจะเอาเปรียบผู้ชมเกินไปครับ ผมเลยมีการเปลี่ยนแปลงแบบจดั เตม็ ทุกวันนี้การแข่งขันมันสูง ต้องสู้ครับ หนังต่างประเทศดังๆถ้าเขาเอามาทำใหม่ ก็จะเรียกว่ารีเมก เหมือนกับหนังซูเปอร์ฮีโร่หลายๆ เรื่องที่เห็นอยู่ทุกปี แต่พอมีหลายๆเรื่องเอามารีเมกกันเยอะขึ้น ก็เลยมีปรับเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเยอะ เลยเรียกว่ารีบู๊ต ฉลุยเวอร์ชั่นนี้ไม่ได้มาจากการรีบู๊ต หรือรีเมก แต่มันคือการรีไซเคิลจากโครงสร้างของฉลุยเวอร์ชั่นเดิม รีไซเคิลน่าจะใช่ที่สุด มันใหม่หมดเลย มุข ทุกเรื่องราวและรายละเอียด แล้วเหตุการณ์ก็ไปเกิดที่เกาหลีด้วยนะ ในส่วนของบทเวอร์ชั่นนี้ผมก็ยังรักษาหัวใจและคงคุณค่าที่มีอยู่เดิมไว้ โดยปรับเปลี่ยนเส้นเรื่องและความสนุกสนานขึ้นมาใหม่ พยายามทำให้หนังมีเนื้อหาที่ทันสมัย โดนใจวัยรุ่นและถูกใจทุกกลุ่มคนดูเลยต้องอาศัยไอเดียและความคิดกลุ่มคนรุ่นใหม่ในการเขียนบท ซึ่งก็เป็นทีมเขียนบทของคุณปุ๊ก (พันธุ์ธัมม์ ทองสังข์) เหมือนเป็นการเดินทางไปฉลุยร่วมกันของทุกคน
เอาของเก่าและดังเปรี้ยงมาทำใหม่ ไม่ใช่สิ มาสานต่อสไตล์หนังรีไซเคิลอย่างที่เขาบอก ย่อมเจอความคาดหวังจากแฟนๆ ยิ่งเฉพาะคนยุคฉลุย คนทำเล่ากดดันมากน้อยแค่ไหน ผู้กำกับต้นคิดยืดอกบอกทีเล่นทีจริงไม่มีเลยความกดดัน ขณะที่ความคาดหวัง เขาก็คิดว่าหนังน่าจะถูกจริตคนดูไม่มุมใดก็มุมหนึ่ง
“คือมันนานมากจนลืมไปแล้วครับ เวอร์ชั่นนั้นมัน 27ปีละ เท่าที่จำได้เวอร์ชั่นนั้นก็มีจุดที่ขัดใจกับข้อบกพร่องนะ ทำให้ผมอยากแก้ไขมัน ตรงไหนที่มันรู้สึกไม่ดีก็อยากย้อนเวลากลับไปแก้ ซึ่งชีวิตจริงทำไม่ได้หรอก แต่หนังทำได้ครับ (หัวเราะร่วน) สนุกเราล่ะ เวอร์ชั่นเก่าที่ผมใส่เรื่องส่วนตัวเยอะไป ขนมครกเจ็ดสี ขนมครกเพื่อสุขภาพคืออะไร มันไม่เกี่ยวกับหนังเลย แค่ขัดใจอยากจะระบายอยากจะใส่อะไรก็ยัดมันเข้าไป คือมันไปนี้ดดดด ส่วนตัวมากไปหน่อย แต่เวอร์ชั่นนี้ผมจะมีสติขึ้น ห้ามตัวเองว่าอย่าทำหนังแบบว่าเอาเรื่องส่วนตัวมาพูด ให้หนัง ให้ตัวหนังมันเดินไปตามทางของมัน พยายามจะจริงใจบริสุทธิ์ใจกับมัน
สำหรับคนที่มีความฝัน หนังเรื่องนี้คือหนังของคุณมันเคยเป็นหนังที่ให้กำลังใจผู้คนในยุคเมื่อประมาณ 27ปีที่แล้ว วันนี้มันก็จะกลับมาด้วยจุดมุ่งหมายนั้นอีกครั้งโดยเฉพาะยุคที่เศรษฐกิจมันพังๆ ผู้คนต้องดิ้นรน แย่งกันกินแย่งกันใช้ แย่งกันแม้กระทั่งความฝัน อยากเป็นนั่นโน่นนี่ แต่ก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้เป็น ในทุกๆ อาชีพไม่ว่าจะเป็นนักร้อง ดารา ผู้กำกับหนัง หรือกระทั่งคนขายก๋วยเตี๋ยว เป็นเพราะผู้คนมันเยอะขึ้น แต่งานหรือความฝันมันมีเท่าเดิม พอการแข่งขันมันสูงขึ้น อะไรที่อยากเป็นมันก็ไม่ได้เป็น ทำให้หลายๆ คนเริ่มท้อหมดกำลังใจ ไปบ่นไประบายตามโซเชียลเน็ตเวิร์กเยอะมากผมคิดว่าหนังเรื่องนี้มันก็เหมาะกับความรู้สึกตรงนี้ครับตัวละครโต้งกับป๋องในเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีพลังพิเศษอะไรมากกว่าคนปกติทั่วๆ ไป โต้งกับป๋องไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่ ก็เลยมีท้อ มีหมดแรง หมดอาลัยตายอยาก ทำอะไรๆ ก็ไม่สำเร็จ มันก็ต้องมีหมดแรงสู้บ้างล่ะ”
(หมายเหตุ ฉลุย แตะขอบฟ้า มีคิวเข้าฉายเดือนมิ.ย.นี้)
(วัยรุ่น) สมัยนั้น (2531) มันต้อง ‘ฉลุย’2531 คือปีที่หนังออกฉาย เรา-ตามประสาเด็กต่างจังหวัด เรียนเสร็จก็พุ่งไปโรงหนังประจำอำเภอจองตั๋วตั้งแต่หัววัน เพราะอยากไปดู “ป๋อง” กับ “โต้ง”
จำได้ว่ารอบแรกที่ฉายโรงแทบแตก ที่อื่นๆ ก็ไม่น่าจะต่างกัน เช็กรายได้ที่หนังเรื่องนี้ทำไว้ ทั่วประเทศเบ็ดเสร็จคว้าไปถึง 12 ล้านบาท เรียกว่าไม่ธรรมดา27 ปีที่แล้วกับตัวเลขนี้ ซึ่งปีนั้นมีหนังไทยเข้าฉายทั้งสิ้น 112 เรื่อง และมีหนังดีๆ อีกเพียบ อาทิ “บุญชูผู้น่ารัก” “คู่กรรม” “พี่เลี้ยง” “ปลื้ม” (หนังอีกเรื่องของอดิเรก) “ทองประกายแสด” “ตลาดพรหมจารี”“จงรัก” “ครั้งเดียวก็เกินพอ” “เขาชื่อกานต์” “กลิ่นสีและกาวแป้ง”
เพราะฮิตระเบิดระเบ้อ ถัดมาอีก 2 ปี ก็มี “ฉลุยโครงการ 2” สร้างกระแสให้คนยุคฉลุยได้หรรษาร่าเริงกับความบันเทิงแนวสบายตาสบายใจ ฉลุยภาคนี้ไม่ข้องเกี่ยวหรือต่อเนื่องกับภาคแรกเลย ทางใครก็ทางมัน ทว่ากลับทำรายได้เพิ่มมากกว่าภาคแรกถึง 19 ล้านบาท
จาก “ฉลุยโครงการ 2” สู่ “ฉลุยหิน คนไข่สุดขอบโลก” แต่ทิ้งระยะห่างกันถึง 5 ปี กว่าที่แฟนๆจะได้ดู ผลลัพธ์อาจไม่เป็นที่โดนจริตคอหนังมากนักเพราะความสุดขอบแบบไม่แคร์ใคร เพราะความแฟนตาซีล้ำแบบขาดๆ เกินๆ ที่ยังไม่เป๊ะ ทั้งๆ ที่ทางผู้กำกับและทีมงาน ตลอดจนค่ายหนัง “ไท เอนเตอร์เทนเมนท์” พยายามจะพลิกโฉมหน้าวงการหนังไทย 2538 ด้วยเนื้อหาที่ฉีกจากวัยรุ่นนักเรียนและการนำเสนอไม่ซ้ำซากแนว
นักวิจารณ-์ผ้กู ำ กับ “สุทธากร สันติธวัช” ให้ทัศนะไว้ในบทความ “หนังไทยในทศวรรษ 2530-2540” ว่าจุดเด่นที่ทำให้ “ฉลุย” น่าสนใจ ไม่เพียงเนื้อหา แต่ยังหมายรวมถึงมุมกล้องที่พิถีพิถัน การตัดต่อที่มีจังหวะจะโคน ซึ่งสร้างความแตกต่างให้วงการหนังไทย
“อังเคิลและปื้ดเป็นนักดูหนังตัวยง สิ่งที่พวกเขาเริ่มทำในซึมฯ ปลื้ม และทำให้เห็นชัดขึ้นในงานชิ้นต่อๆ มาอย่างดีแตก (2530) และฉลุย (2531) คือการพิถีพิถันกับมุมกล้อง และแตกซีนเป็นคัตย่อยๆ จำนวนมาก ซึ่งผลที่ติดตามมาก็คือจังหวะจะโคนจากการตัดต่อที่แตกต่างไปจากหนังไทยยุคก่อน และกลายเป็นจุดเด่นของหนังไท เอนเตอร์เทนเมนท์ ที่ทำ ให้หนังของบริษัทนี้ได้รับการยอมรับจากคนดูรุ่นใหม่ แม้จะถูกกล่าวหาว่าลอกเลียนแบบจากหนังต่างประเทศโดยเฉพาะหนังฮ่องกง ทั้งคู่ก็สมควรได้รับเครดิตในการสร้างความตื่นตัวให้แก่การพัฒนางานสร้างหนังไทย อันส่งผลให้รูปลักษณ์ของหนังไทยโดยภาพรวมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างค่อนข้างรวดเร็ว”


