posttoday

แพ้รัก เพราะโดนรีไทร์

09 เมษายน 2558

เรื่องที่ผมจะเล่าเป็นเรื่องจริงของผมเอง แม้ผมจะรู้ว่าเรื่องของผมเป็นเรื่องช้ำๆ

โดย...ต้อยติ่ง สวิฟต์ ภาพ : LLIONG THAI LINH

เรื่องที่ผมจะเล่าเป็นเรื่องจริงของผมเอง แม้ผมจะรู้ว่าเรื่องของผมเป็นเรื่องช้ำๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับใครหลายคนมาแล้ว แต่ก็หวังว่าทุกคนจะเปิดใจรับฟังเรื่องราวเศร้าๆ ในชีวิตจริงของผมอีกเรื่องหนึ่ง และหวังว่ามันจะเกิดขึ้นกับผมเป็นคนสุดท้ายบนโลกใบนี้

ผมขอแนะนำตัวเองก่อนนะครับ ผมชื่อเหน่ มาจากชื่อจริงว่าเสน่ห์พงศ์ เป็นคน จ.อุบลราชธานี เมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษา ก็ขึ้นเหนือไปอยู่กับญาติฝ่ายแม่ที่ อ.จุน จ.พะเยา ผมเจอกับโบ๊ะ ตอนขึ้น ม.6 (บอกไว้ก่อนนะครับ เรื่องของผมเป็นแบบชายรักชายนะครับ)

โบ๊ะเป็นคนเชียงรายโดยกำเนิด เราเจอกันโดยบังเอิญทางโปรแกรม Chat หรือทางอินเทอร์เน็ต โบ๊ะเรียนมหาวิทยาลัยแล้วในตอนนั้น เขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ (ตื่นเต้นจังเลย!)

ตอนแรกที่คบหากัน เชื่อมั้ยครับผมไม่มีความรู้สึกอะไรกับโบ๊ะเลย แต่พอคบๆ ไปก็เริ่มใจอ่อน เพราะความนุ่มนวลและมีเสน่ห์ของโบ๊ะ ประกอบกับการที่ผมไม่เคยมีใครมาเอาใจด้วยขนาดนี้ (นี่ผมวิเคราะห์ของผมเองนะครับ อาจผิดก็ได้) รู้อย่างเดียวว่า อยากเห็นหน้าโบ๊ะ อยากจับมือเขา อยากกินข้าวกับเขา อยากเดิน อยากทุกอย่างกับเขา

ต่อมา เราก็เริ่มไปไหนต่อไหนด้วยกัน คนทั่วไปก็เริ่มมองมาที่เรา ชอบทักว่า แหม เป็นปาท่องโก๋เลยนะ เป็นเงากันเลยนะ เข้าใจว่าก็คงมีใครคิดอะไรบ้าง แต่เราไม่แคร์เพราะความสุขมันมากล้นเหลือเกิน ดีไม่น้อยใช่มั้ยครับที่มีใครสักคนอยู่ใกล้ๆ เรา และพร้อมที่จะเป็นเพื่อนเป็นคู่รักของเรา

จนผมเรียนจบชั้นมัธยม โบ๊ะก็ติวให้จนผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งเดียวกับเขาได้ ผมดีใจมาก พ่อกับแม่ก็ดีใจ แอบสนับสนุนอยู่ไม่น้อยเมื่อเห็นว่าการเรียนผมไม่ตก การคบกับโบ๊ะทำให้ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ คนต่างจังหวัดมองว่า โอ้โห มันเท่มาก มันเก่งมาก ทุกคนก็มองเราเหมือนยอมรับเรามากขึ้น ผมดีใจมาก

ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ผมมีความสุขมากขึ้นไปอีก เพราะได้อยู่ใกล้ชิดกับโบ๊ะ ได้เจอกันแทบจะตลอดเวลา เช้ากลางวันเย็นไม่มีห่างเลย เพราะตอนนี้ก็มาเช่าหอพักอยู่ด้วยกัน แล้วนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ผมคุยกับโบ๊ะว่า เราจะเป็นคู่รักกันแบบเปิดเผย ทดลองอยู่ด้วยกันเลยดีกว่า โบ๊ะก็เห็นดีด้วย เราเลยออกจากหอพักชาย ไปเช่าบ้านอยู่ด้วยกันในตัวเมืองเชียงใหม่

และที่นี่เองที่เราได้เป็นของกันและกันอย่างแท้จริง ความรักของเรากล้าท้าว่าไม่แพ้ชาย-หญิง ชาย-ชาย หรือหญิง-หญิงคู่ไหนเลย เราช่วยเหลือดูแลกันอย่างดื่มด่ำ ยามสุขก็สุขด้วยกัน ยามทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกัน หรือเวลาใครไม่สบาย อีกคนก็จะช่วยดูแลแบบไม่ห่าง สบายใจและสบายกายทุกคืนวัน

ช่วงเวลาที่เรามีกันและกันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข ผมถือว่าผมโชคดีที่มีโบ๊ะ โบ๊ะรักผมและผมก็รักโบ๊ะ เราอยากไปไหนก็ไปกัน ทั่วเชียงใหม่ไม่มีที่ไหนหรือจุดไหนที่ผมและโบ๊ะไม่เคยไปย่างเหยียบ มีครั้งหนึ่งเราไปเที่ยวน้ำตกที่สันกำแพง ไปเดินดูถนนคนเดินที่ถนนช้างคลาน ไปกินข้าวซอย ไปกินไอศกรีมหน้าข้าวเหนียว ไปดอยอินทนนท์ ไปไหว้พระด้วยกัน คงไม่ต้องบอกว่า ผมมีความสุขแค่ไหน

แต่อาจจะเพราะปล่อยตัวปล่อยใจเสรีเกินไป ทำให้ผมห่างเหินจากการเรียน จนอาจารย์ที่ปรึกษาเรียกไปเตือนหลายครั้ง ครั้งแรกผมก็ยังไม่อะไร ครั้งที่ 2 ก็ยังไม่อะไรอีก แต่พอครั้งที่ 3 และเตรียมเรียกผู้ปกครองมาคุย ผมก็ชักใจเสียเหมือนกัน พ่อไม่ได้มา มาแต่แม่ แม่เสียใจมาก เรียกผมไปคุยว่าเกิดอะไรขึ้น นึกว่าจะได้ฝากผีฝากไข้ อันนี้เป็นประเพณีของทางภาคอีสานครับ พ่อแม่ก็อยากฝากผีฝากไข้ไว้กับลูกชายคนโต ประมาณว่าผมพึ่งไม่ได้ ผมก็เสียใจ

เรื่องเกิดขึ้นจนได้ แม้ผมจะพยายามกลับตัว โบ๊ะก็พยายามติวให้ แต่ครั้งนี้ติวไม่ขึ้น เพราะผมปล่อยเรื้อการเรียนมานาน ไม่เคยท่องหนังสือเลย เพราะมัวแต่เที่ยวกับโบ๊ะ ผมต้องโดนรีไทร์ ตัดสินใจมาเรียนต่อกรุงเทพฯ มาเรียนรามคำแหง ไปเช่าหอพักแถวๆ บางนา 2 ช่วงนี้เศร้ามากเพราะห่างไกลจากโบ๊ะ ที่ยังเรียนหนังสืออยู่ที่ จ.เชียงใหม่ (โบ๊ะเขาเรียนดีครับ การเรียนไม่ตกเลย)

ผมทนอยู่คนเดียวแทบไม่ได้เลยครับ วันๆ เอาแต่นอนจ้องฝาผนังอยู่ในหอ ใจก็คิดแต่ว่าตอนนี้โบ๊ะทำอะไรอยู่หนอ ผมแทบไม่ได้ไปเรียน ไปแต่ตอนสอบอย่างเดียว แทบไม่เคยไปเรียนเลย ใจก่นแต่ความเศร้าหมอง จนวันหนึ่งมีคนมาเคาะประตูห้อง ผมเดินไปเปิดประตูอย่างงงๆ ไม่คิดว่าใครจะมาหาเรา ปรากฏว่าเป็นเพื่อนจากเชียงใหม่สมัยที่ยังคบอยู่กับโบ๊ะ เขาถามว่าเหงามั้ย ผมตอบว่ามาก

ไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา เพราะเขารู้จักทั้งผมและโบ๊ะ รู้ว่าเราเป็นอะไรกัน รู้สถานการณ์แยกกันอยู่โดยระยะทางของเราดี แต่เขาก็เติมเต็มในสิ่งที่ผมกำลังโหยหาอยู่ได้ ผมไม่รู้ว่าผมทำอะไรลงไป จะเป็นอารมณ์ประชดโบ๊ะ หรือประชดชีวิตผมก็ไม่รู้ได้ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว

ความลับไม่มีในโลก ในที่สุดโบ๊ะก็รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อนชายคนนี้ผมให้ชื่อว่า ชอนก็แล้วกันนะครับ ชอนมาเรียนตัดผมที่กรุงเทพฯ 3 เดือน แล้วแวะมาอยู่กับผม ผมเสียใจน้อยใจและทำอะไรไม่ถูกกับสิ่งที่เกิดขึ้น คิดในใจว่าโบ๊ะน่าจะถามมาทางผมก่อน อย่างน้อยผมจะได้อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น ปรับความเข้าใจกันได้ แต่โบ๊ะก็ดูไม่ใส่ใจที่จะทำอย่างนั้น ไม่ใส่ใจในความคิดความรู้สึกของผมเลย

อนุทินอันแสนเจ็บปวดของผมจบลงอย่างครึ่งๆ กลางๆ ตอนนี้ชอนก็เรียนจบวิชาทำผมกลับบ้านต่างจังหวัดที่เชียงใหม่ไปแล้ว โบ๊ะก็ใกล้เรียนจบปี 4 แล้ว มีแต่ผมที่คว้าจับอะไรไม่ได้เลย ทั้งคนหรือใครหรือการเรียน พ่อแม่ได้แต่เสียใจ ยื่นคำขาดให้ผมกลับเนื้อกลับตัว ผมก็คิดว่า ขอให้หายเหนื่อยจากรักที่เจ็บปวดก่อน

หวนคิดขึ้นมาว่า ถ้าตอนปี 1 ผมตั้งใจเรียน ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจเสรีกับรักมากเกินไป ผมก็คงไม่โดนรีไทร์ ถ้ายังเรียนอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ ก็คงไม่เลิกกับโบ๊ะ ความรักกับระยะทางมันยากครับ เหนื่อยครับ แพ้ใจตัวเองที่ยอมแพ้ง่ายๆ สะอึกสะอื้นตอนนี้ก็ไม่มีใครสักคนที่จะแลเห็น ต้องจากรักแท้มาเพราะโดนรีไทร์แท้ๆ

ขอบคุณครับที่อ่านเรื่องของผม

ข่าวล่าสุด

คนละครึ่งพลัส หนุน “พาสต้า บ่? - มีลาภ อุบลฯ" ยอดขายพุ่ง แชมป์ร้านต่างจังหวัดขายดี