posttoday

บุญต้องห้าม เมื่อ"เพศที่สาม" ลุกขึ้นมาบริจาคเลือด

12 มีนาคม 2558

จากสภาวะวิกฤตที่สภากาชาดเลือดหมดคลังจนขาดแคลนไปทั่วประเทศ เรื่องนี้ พญ.สร้อยสอางค์ พิกุลสด

โดย...แอ็กอาร์ต

จากสภาวะวิกฤตที่สภากาชาดเลือดหมดคลังจนขาดแคลนไปทั่วประเทศ เรื่องนี้ พญ.สร้อยสอางค์ พิกุลสด ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ได้เปิดเผยว่า ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติกำลังประสบปัญหาการจัดหาโลหิตไม่ได้ตามเป้าหมายทั้งภายในสถานที่และหน่วยเคลื่อนที่ เกิดการขาดแคลนสะสมต่อเนื่อง สาเหตุเนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่มักบริจาคโลหิตในช่วงที่มีกิจกรรม เทศกาล และวันสำคัญต่างๆ ทำให้เกิดการบริจาคโลหิตไม่สม่ำเสมอ

กระทั่งเกิดภาวะวิกฤตในขณะนี้ ส่งผลกระทบกับโรงพยาบาลทั่วประเทศ ที่เบิกโลหิตนำไปรักษาผู้ป่วยมากถึง 8,000 ยูนิต แต่จ่ายโลหิตได้เพียง 2,000 ยูนิต หรือ 25% เท่านั้น จากที่เคยจ่ายได้มากกว่า 80% เนื่องจากไม่มีโลหิตสำรอง ซึ่งตามมาตรฐานงานบริการโลหิตต้องมีโลหิตสำรอง 3,000 ยูนิต/วัน สำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถรับรักษาได้และต้องเลื่อนการรักษาหรือผ่าตัดออกไป

เมื่อประชาชนได้ทราบข่าวก็พากันมาร่วมบริจาคเลือดกันมากมาย มีทุกเพศทุกวัย ทั้งหญิง ชาย วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ รวมทั้งบรรดา “เพศที่สาม” ที่มีจิตใจอยากช่วยเหลือก็พากันมากรอกใบสมัครเพื่อบริจาคเลือดกันเพียบ แต่ด้วยกฎเกณฑ์ในการคัดกรองผู้บริจาค ส่วนใหญ่แล้วชาวเพศที่สามก็มักจะไม่ผ่านเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้อยากรู้ว่าพวกเขามีทัศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงบ้าง

บุญต้องห้าม เมื่อ"เพศที่สาม" ลุกขึ้นมาบริจาคเลือด

 

“บอล” (นามสมมติ) นักเทคนิคการแพทย์ผู้เคยทำงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ให้ความเห็นในเรื่องการบริจาคเลือดไว้น่าสนใจ

“เมื่อ 2 ปีก่อนผมมักจะบริจาคเลือดเป็นประจำทุก 3 เดือน ก่อนที่ผมจะหยุดบริจาคเลือด ผมบริจาคมาแล้วทั้งหมด 35 ครั้ง สาเหตุที่ต้องหยุดบริจาคเพราะทางกาชาดให้เหตุผลว่า ผมเป็นกลุ่มเสี่ยงเนื่องจากเป็นเกย์ ทุกครั้งที่ได้ยินว่ากาชาดขาดแคลนเลือดผมก็อยากไปช่วยบริจาคนะ เพราะผมแข็งแรง ปลอดภัย แต่อีกใจก็ไม่อยากโกหกตอนกรอกแบบสอบถามว่า ผมไม่ใช่เกย์”

บอลบอกว่า เขาเรียนจบทางด้านเทคนิคการแพทย์ จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ได้เกียรตินิยมอันดับ 2 มีความรู้ทางด้านเอดส์ (HIV) ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี หนองใน และซิฟิลิส เขามั่นใจว่าไม่เป็นรองใคร เขาจึงรู้ถึงความสำคัญของการตรวจคัดกรองเลือด เพื่อส่งต่อให้ผู้รับเลือดเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงอยากขอร้องเพื่อนๆ ที่เป็นเกย์ทุกคนที่ต้องการบริจาคเลือด อย่าปกปิดเพศ กิจกรรมทางเพศ หรือภาวะความเสี่ยงต่างๆ เพราะจะกลายเป็นทำร้ายผู้รับเลือดจากคุณทางตรง และเป็นการเพิ่มภาระให้กับกาชาด

“ใจจริงแล้วผมอยากกลับมาบริจาคเลือดได้อีกครั้งนะ ถ้ากาชาดยอมรับเลือดของคนที่เป็น ‘เกย์สะอาด’ นะ แต่ผมจะไม่โกหกเพียงเพื่อให้ได้บริจาคเลือด ดังนั้นมาช่วยกันนะครับ อย่าโกหกเพศของตัวเอง เพื่อให้กาชาดยอมรับเกย์สะอาดในสักวันหนึ่ง

บุญต้องห้าม เมื่อ"เพศที่สาม" ลุกขึ้นมาบริจาคเลือด

 

“ในฐานะที่ผมเป็นนักเทคนิคการแพทย์ที่เคยทำงานในโรงพยาบาล ผมรับรู้ถึงปัญหาเรื่องเลือดที่บริจาคไม่เพียงพอกับความต้องการมาโดยตลอด แต่สิ่งที่พอจะช่วยได้ในขณะนี้ก็คือ การช่วยกระจายข่าวสาร เนื่องจากตอนนี้กาชาดประสบกับภาวะขาดแคลนเลือดอย่างมาก ใครที่อยากบริจาคเลือดต้องมั่นใจนะครับว่า คุณต้องไม่มีภาวะเสี่ยงจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และพักผ่อนเพียงพอก่อนบริจาค เพราะเลือดของคุณ 1 คน จะส่งต่อให้ผู้รับเลือดได้มากถึง 4 คน”

บอลให้ความเห็นทิ้งท้ายด้วยว่า ไม่ว่าคุณจะเป็น ชายรักชาย หญิงรักหญิง ชายรักหญิง หรือคนที่มีความรักในรูปแบบอื่นๆ ก็ล้วนแต่มีภาวะเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เท่าเทียมกัน แต่สิ่งที่สภากาชาดไทยควรให้ความสำคัญนั้น ไม่ใช่เรื่องเพศหรือรสนิยมทางเพศ แต่คือมาตรฐานการตรวจคัดกรองว่าใช้กระบวนการตรวจเลือดบริจาคอย่างไร เพื่อลดจำนวนเลือดที่ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะเชื้อเอดส์ หรือ HIV

เขาเข้าใจดีว่าต้นทุนการตรวจนั้นมีราคา แต่หากจะพิจารณาถึงชีวิตอีกหลายชีวิตที่จะได้รับผลกระทบจากการลดต้นทุน ไม่ว่าจะเป็นคนรอรับบริจาคหรือคนบริจาคก็ตามย่อมสำคัญกว่า จึงอยากให้ผู้เกี่ยวข้องร่วมมือกันหาทางออกที่ดีที่สุด อย่าเห็นแก่การลดค่าใช้จ่ายในการตรวจเลือดที่น้อยลง โดยการตัดกลุ่มคนที่คุณเข้าใจผิดคิดว่ามีความเสี่ยง เพราะนี่แหละอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คนจำนวนหนึ่งแบบเขาหยุดบริจาคเลือด

บุญต้องห้าม เมื่อ"เพศที่สาม" ลุกขึ้นมาบริจาคเลือด

 

ด้าน “ปาล์ม” เกย์หนุ่มวัย 33 ผู้เคยผู้บริจาคเลือดมาแล้ว 9 ครั้ง ในรอบ 5 ปี เผยว่าตอนที่ไปบริจาคเลือดเขาต้องกรอกแบบฟอร์มใบสมัครผู้บริจาคโลหิตตามกฎของสภากาชาดทุกครั้ง เพียงแต่เขาไม่ได้ทำเครื่องหมายลงในช่องที่ว่า “เคยมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน”

“ที่ผมไม่ได้กาช่องนี้ เพราะผมมีความตั้งใจอยากจะบริจาคเลือดจริงๆ เพราะผมรู้ตัวว่าเลือดผมปลอดภัย แม้จะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ถึงผมเป็นเกย์ก็จริง แต่ผมก็ไม่ได้ไปมีเพศสัมพันธ์กับใครมั่วไปหมด อีกอย่างผมตรวจร่างกาย ตรวจเลือดเป็นประจำทุกปี จึงมั่นใจได้ว่าเลือดผมปลอดภัย

อีกอย่างก่อนการบริจาคเลือดทุกครั้ง นอกจากกฎพื้นฐานเบื้องต้น เช่น ห้ามกินเหล้า ห้ามกินยาปฏิชีวนะ ห้ามอดนอน และอื่นๆ แล้ว ผมรู้มาว่าเมื่อถูกเจาะเลือดไปแล้ว เลือดนั้นจะถูกนำไปตรวจสอบตามกระบวนการอย่างละเอียดว่า ติดเชื้อไวรัสหรือเชื้อต่างๆ หรือไม่ เกล็ดเลือดลอยหรือไม่ ซึ่งหากเลือดเราติดเชื้อหรือมีคุณสมบัติไม่พร้อม ก็จะถูกส่งไปทำลายภายใน 3 เดือน

บุญต้องห้าม เมื่อ"เพศที่สาม" ลุกขึ้นมาบริจาคเลือด

 

ขณะที่หากบริจาคไปแล้วเลือดเราเกิดมีปัญหาติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี หรือแม้แต่เชื้อเอชไอวีทางสภากาชาดก็จะส่งจดหมายแจ้งกลับมาให้เราไปพบแพทย์ที่นั่นอยู่ดี แต่เท่าที่ผมบริจาคมาแล้วหลายครั้งก็ยังไม่เคยเกิดกรณีนี้สักครั้ง ผมจึงรู้สึกมั่นใจว่าเลือดที่บริจาคไปนั้นสามารถส่งไปช่วยเหลือผู้ที่ต้องการได้จริงๆ ครับ”

ในขณะที่ “ต้อม” (นามสมมติ) เจ้าหน้าที่ของธนาคารเลือดโรงพยาบาลมีชื่อแห่งหนึ่ง เผยว่าตัวเขาเองก็เคยคิดที่จะบริจาคเลือดเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นเหมือนกัน แต่ด้วยความที่เขาเป็นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล เขาจึงไม่อยากโกหกตอนกรอกเอกสารเพื่อบริจาคเลือด ผลปรากฏว่าต้อมได้รับการปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมจากเจ้าหน้าที่ว่า ขอเป็นโอกาสหน้าค่อยมาบริจาคใหม่ดีกว่า

“ผมไม่โกรธนะ เข้าใจดี เพราะผมก็เป็นเจ้าหน้าที่ประจำธนาคารเลือดของโรงพยาบาลเหมือนกัน จึงเข้าใจถึงกฎเกณฑ์ในการคัดกรองตอนบริจาคเลือดเป็นอย่างดี ซึ่งกาชาดจะมีวิธีคัดกรองโดยละเอียดต่อผู้ที่มาบริจาคเลือดทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย และเท่าที่ทราบข้อมูลมา มีผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง มีเปอร์เซ็นต์ที่ผลตรวจเลือดจะออกมาเป็นบวกสูงถึง 25% เลยล่ะ

บุญต้องห้าม เมื่อ"เพศที่สาม" ลุกขึ้นมาบริจาคเลือด

 

“หากรับบริจาคเลือดไปแล้วมาตรวจพบเชื้อไม่ว่าจะเป็นเชื้ออะไร กาชาดก็ต้องส่งไปทำลายอยู่ดี เนื่องจากเป็นขยะติดเชื้อ ซึ่งไม่คุ้มกับการเสียเวลาในการไปรับบริจาค เสียค่าใช้จ่ายในเรื่องเข็มเจาะเลือด ถุงเลือด และกระบวนการตรวจเชื้อต่างๆ รวมทั้งค่าน้ำยาตรวจ HIV ชนิดพิเศษ ที่สามารถตรวจพบเชื้อได้แม้ติดเชื้อมาแค่ 5 วัน ซึ่งมีราคาสูงมาก ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีค่าใช้จ่ายทั้งนั้นครับ”

“แม็ค” นักศึกษาวัย 21 ปี ที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นเกย์ และเคยคิดจะบริจาคเลือดเช่นกัน แต่เมื่อรู้ว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงก็เลยล้มเลิกความคิดไป แม็คให้ความเห็นเกี่ยวกับการลุกขึ้นมาบริจาคเลือดของเพศที่สามในยามขาดแคลนเลือดว่า เขาเชื่อว่าชาวเพศที่สามส่วนใหญ่มีจิตใจที่ดี มีความตั้งใจที่อยากจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันจริงๆ

บุญต้องห้าม เมื่อ"เพศที่สาม" ลุกขึ้นมาบริจาคเลือด

 

“แต่ก็ต้องยอมรับในกฎกติกาที่กาชาดตั้งไว้ เพื่อผลที่ดีต่อทุกคนทุกฝ่าย ถ้าเป็นไปได้ในอนาคตผมอยากให้กาชาดหาเทคนิคหรือวิธีแก้ไขแบบพิเศษขึ้นมา เพื่อที่จะทำให้ชาวเพศที่สามมีโอกาสบริจาคเลือดได้บ้าง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน

พวกเราจะได้ไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจไงครับ โดยอาจตรวจสอบเป็นพิเศษ หรือติดตามพฤติกรรมในการดำเนินชีวิต (ซึ่งคิดว่าน่าจะทำอยู่) ถ้าชาวเพศที่สามมีความปลอดภัยจริงก็น่าจะให้บริจาคเลือดได้ แต่ถ้ามันทำไม่ได้จริงๆ พวกเราก็สามารถจะทำความดีอย่างอื่น เช่น บริจาคเงิน บริจาคสิ่งของ และอื่นๆ เพื่อช่วยเหลือกาชาดหรือองค์กรการกุศลต่างๆ เป็นการทดแทนก็ได้ครับ”

ข่าวล่าสุด

ทร.แจงไม่ได้ข่มขู่กัมพูชา ย้ำใช้กลไกทวิภาคีปมเขื่อนกันคลื่น