อาท-เอ...อนาคตสำคัญกว่าอดีต
ไม่มีใครปฏิเสธว่าการกลับมาจับคู่กันอีกครั้งของ “อาท” บดินทร์ อิสระกับ “เอ” มณีพงศ์ จงจิตร
โดย...นูโน่
ไม่มีใครปฏิเสธว่าการกลับมาจับคู่กันอีกครั้งของ “อาท” บดินทร์ อิสระกับ “เอ” มณีพงศ์ จงจิตร คือสิ่งที่หลายคนอยากเห็น เพราะเสียดายฝีมือและความลงตัวของทั้งคู่ แต่ก็ยังมีคำถามคาใจว่า ทั้งสองจะกลับมาเหมือนเดิมได้จริงหรือ?
“เหมือนเดิมแน่นอนครับ” คำยืนยันหนักแน่นอีกครั้งจากปากของทั้งคู่ หลังกลับมาเก็บตัวฝึกซ้อมร่วมกันที่สมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย
ภาพความรุนแรงในศึกแคนาดา โอเพ่น วันนั้น อาจยังคงติดตาและยากที่จะลืมเลือนในเวลาไม่ถึง 2 ปี แต่เจ้าตัวมองว่า อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป และมองไปข้างหน้าดีกว่า เพราะนอกจากความเป็นเพื่อนที่ผูกพันกันมานานแล้ว ยังมีเป้าหมายเดียวกัน
นั่นคือ ความฝันคว้าเหรียญโอลิมปิก!!
หลังจากมีโอกาสได้เจอกันที่ห้างเดอะมอลล์แห่งหนึ่งโดยบังเอิญ จนได้กลับมาคุยกันอยู่ประมาณ 3-4 เดือน ก็เริ่มมีการพูดคุยถึงเรื่องการกลับมาจับคู่กันอีกครั้ง
“พออาทชวน ผมก็โอเค เพราะคิดว่าคู่กันมันก็ดี ตีแบดเรารู้อยู่แล้วว่าใครดีไม่ดียังไง และเหมาะกับใครมากที่สุด” มณีพงศ์ เล่าถึงการตัดสินใจในตอนนั้น
แน่นอน หลังเกิดเหตุเมื่อกลางปี 2556 นักตบขนไก่จากภูเก็ต รู้สึกโกรธมากๆ แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวที่เป็นคนไม่เคียดแค้นหรือใส่ใจอะไรมากมาย เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกเหล่านั้นก็หายไปด้วย หลังปัญหาตอนนั้นเกิดจากความไม่เข้าใจกัน และไม่พยายามจะคุยกัน
ถึงแม้วันนี้ ทั้งคู่ยังไม่ได้ลงสนามคู่กัน เพราะเอยังมีปัญหาบาดเจ็บไหล่และยังตีไม่ได้ แต่การได้เห็นบรรยากาศการแซวเล่นกันในสนามซ้อม ก็ถือเป็นเครื่องยืนยันอย่างหนึ่งว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขากลับมาดีอีกครั้ง
ทั้งคู่ยังยอมรับว่า เสียดายเวลาและโอกาสที่หายไปในช่วงแยกคู่กัน เพราะนอกจากจะเสียโอกาสในการลุ้นขึ้นมือท็อปของแล้วโลก ยังสูญรายได้จากเงินรางวัลและสปอนเซอร์รวม 10 ล้านบาท ได้เลยทีเดียว
“เสียดายมาก ถ้าย้อนเวลาได้ก็คงไม่ตัดสินใจออกมาในตอนนั้นแต่เมื่อมันย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว ก็ต้องมองไปข้างหน้า เพราะผมเชื่อว่าด้วยอายุของผมยังมีเวลาและมีศักยภาพพอจะทำได้อีกครั้ง” บดินทร์ วัย 24 ปี กล่าว
อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่เชื่อว่า แม้จะห่างกันไปกว่า 2 ปี แต่ก็ไม่มีปัญหาในการปรับตัว เพราะแต่ละคนต่างก็รู้หน้าที่ของตัวเอง และรู้ใจกันอยู่แล้ว เพราะเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เยาวชน พร้อมยืนยัน จะไม่มีปัญหาแบบเดิมเกิดซ้ำรอยอีกแน่นอน แต่ปัญหาอยู่ที่อาการบาดเจ็บมากกว่า
“ถ้าเข้าไปได้ เรามองถึงเหรียญอยู่แล้ว แต่จะได้เข้าไปหรือไม่ เพราะเราช้ามาก ต้องนับหนึ่งใหม่ พ.ค. และต้องหาแรงกิ้งไปแข่งรายการใหญ่ เพื่อโอกาสในการเก็บคะแนนสะสมโอลิมปิก (เริ่มเดือนพ.ค.) แต่ปัญหาคือ ยังตีรายการใหญ่ไม่ได้ เพราะยังไม่มีคะแนน และห่วงสภาพร่างกายที่บาดเจ็บมากกว่า” เอ กล่าว
นอกจากงานหนักที่รออยู่ในการล่าตั๋วโอลิมปิก 2016 ที่บราซิลแล้ว เจ้าของฉายา “คู่หูนรกแตก” รู้ดีว่าการกลับมาคราวนี้ต้องถูกจับตามองเป็นพิเศษจากแฟนๆ และสื่อทั่วโลก ซึ่งอาท-เอ ยืนยันว่า ไม่รู้สึกกดดันใดๆ เพราะคิดแต่เรื่องแบดมินตันและเป้าหมาย
“ตอนที่ไม่เล่น ผมก็มีคิดว่าจะไม่เล่นแล้ว แต่พอได้กลับมาแข่งอีกครั้ง ทำให้รู้ว่ายังมีไฟอยู่ ยังอยากชนะ อยากเล่นต่อ และเชื่อว่าตัวเองยังทำได้ ที่ผ่านมาผมได้เรียนรู้หลายๆ อย่าง การมีโอกาสได้เป็นโค้ชก็ทำให้ผมใจเย็นลงเยอะ เพราะสอนเด็กๆ ต้องใจเย็นมาก ผมไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร แต่จะพยายามทำให้ดีที่สุด และไปโอลิมปิกให้ได้” บดินทร์ ทิ้งท้าย
ไม่ว่าการรีเทิร์นครั้งนี้จะลบล้างภาพแย่ๆ ในอดีตได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยทั้งคู่ก็แสดงให้เห็นว่า คำว่า “อภัย” ไม่ใช่เรื่องยาก และไม่มีคำว่าสายสำหรับการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง


