posttoday

ชีวิตแขวนบนเส้นด้าย

03 กุมภาพันธ์ 2558

โดย...ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย

โดย...ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย

เราควรทำเวลาทุกนาทีให้เป็นเวลาที่ดีที่สุด ให้อิ่มเต็มอยู่ในนาทีนั้นในชั่วโมงนั้น เราควรจะรู้สึกดีกับใคร ควรจะบอกรักใคร ควรจะดูแลใครก็ให้รีบๆ ทำ เพราะชีวิตนั้นแขวนอยู่บนเส้นด้ายของความไม่แน่นอน บางคนช้าไม่ทันได้เห็นอะไรอีกคนก็จากไปแล้ว

เคยมีข่าวในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ชายคนหนึ่งกลับจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ วันที่เขารถคว่ำนั้นเป็นวันที่ตะกวดเข้าบ้านพ่อกับแม่ พ่อแม่รู้ข่าวว่าลูกเสียชีวิตระหว่างทาง อุ้มเอาตะกวดมาเลี้ยงในบ้าน บอกว่าวิญญาณลูกสิงในตะกวด "เอาล่ะ ลูกไม่มาก็เอาตะกวดเป็นลูกละกัน" คิดดูสิพ่อแม่เขาโหยหาลูกแต่ลูกไม่มีเวลาให้พ่อแม่ กลับไปเฉพาะวันพ่อวันแม่ เพราะฉะนั้น พ่อแม่รอเราทุกวัน แต่ลูกให้เวลาพ่อแม่แค่วันสำคัญเท่านั้น ถ้าคิดอย่างนี้เราจะไม่มีสถาบันครอบครัวที่อบอุ่น แต่ถ้าคิดอย่างพุทธ ทุกวันสำคัญเท่ากันหมด ทุกนาทีสำคัญเท่ากันหมด

เพราะฉะนั้น เราอยู่กับใครใช้โมงยามนั้นให้ดีที่สุด เราอย่าไปรอแค่ให้ถึงวันสำคัญแล้วจึงให้ความสำคัญ เช่นอีกสองวันเป็นวันเกิดแฟน พอถึงวันเกิดจริงๆ อ้าว...ลูกค้าคนสำคัญนัดพบ ไปไม่ได้ โทรไปบอกแฟน "วันนี้คุณกินข้าวคนเดียวนะ" เป็นอย่างนี้ประจำใช่ไหม เพราะฉะนั้น ตอนที่เราอยู่ด้วยกันก็ดีให้มันสุดๆ เมื่อออกจากบ้านไป ถ้าไม่ดีก็ต้องมานั่งเสียใจ เพราะมันจบไปแล้ว

มีเรืื่องจริงของชายหนุ่มหญิงสาวไฮโซคุู่หนึ่ง แต่งงานอยู่ด้วยกันมาสักพักหนึ่งแล้วก็มีปัญหาทะเลาะกัน ผู้หญิงหนีออกจากบ้าน ระหว่างทางผู้หญิงคนนี้ได้รับอุบัติเหตุมีอันให้ต้องตาบอด ผู้ชายรู้สึกผิดจึงทำดีเอาใจทุกอย่าง แต่ผู้หญิงคิดว่าวันหนึ่งเขาคงขอเลิกเพราะเราตาบอด คงไม่มีสามีที่ไหนจะพาผู้หญิงตาบอดออกงาน ต่อให้สวยอย่างไรก็ตามเถิด ผู้หญิงคนนี้เธอคิดอย่างนี้ตลอดมา บอกตัวเองเสมอว่าวันหนึ่งเขาจะต้องบอกเลิก

อยู่มาวันหนึ่งขณะนั่งทานข้าวด้วยกัน ผู้ชายก็บอกว่า "พรุ่งนี้พี่จะพาเธอไปขึ้นรถประจำทางเอาไหม" ทีนี้ร้องไหโฮเลย เข้าไปร้องไห้ในห้องคิดว่า "นี่ไงล่ะ เขาเคยขับรถไปส่งเราทุกวัน ทีนี้จะชวนเราไปขึ้นรถประจำทาง ต่อไปถ้าเราขึ้นรถประจำทางได้ เขาก็คงจะขอเลิก โอ๊ย...เป็นไปตามที่คิดไว้เป๊ะเลย"

วันเสาร์วันอาทิตย์สามีพานั่งรถไป-กลับ ไม่รู้กี่เที่ยว วันจันทร์ต่อมาเขาพาเธอไปขึ้นรถประจำทางไปทำงาน พอลับหลังสามีเธอนั่งร้องไห้เงียบๆ ทุกวัน ไม่มีเสียง เพราะยอมรับชะตากรรมผู้หญิงตาบอด เขาจะบอกเลิกก็ต้องยอมรับ เธอยอมรับชะตากรรมโดยไม่ปริปากบ่น ไม่โกรธสามีจนกระทั่งวันหนึ่งหลังเลิกงาน เมื่อเธอขึ้นมานั่งบนรถ ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครนอกจากคนขับรถ

คนขับรถเห็นเธอแล้วก็ทักทาย "ผมอิจฉาคุณผู้หญิงจังเลยนะ ที่มีคนมาส่งคุณทุกวัน"

ผู้หญิงคนนั้นก็ถามว่า "คุณมาอิจฉาผู้หญิงตาบอดอย่างฉันทำไม แค่ฉันนั่งรถไปกลับเองคนเดียว ฉันก็เจ็บปวดมากพอแล้ว"

ชายคนนั้นก็บอกว่า "ที่ผมอิจฉาเพราะอะไรรู้ไหม เพราะทุกๆ วันผมสังเกตดูว่า ข้างหลังคุณผู้หญิงมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งเฝ้ามาโดยตลอด ผมเพิ่งรู้เมื่อวานนี้ว่าเขาเป็นสามีของคุณผู้หญิง"

ทีนี้น้ำตาเธอร่วงพรู กลับถึงบ้านพอเจอสามีเธอรีบถามว่า "จริงหรือเปล่าที่พี่ไปส่งหนูทุกวัน" สามีบอกว่า "จริง"

เธอก็ถามว่า "ทำไมพี่ทำอย่างนั้นล่ะ ทำไมพี่ไม่บอกหนูเลย"

สามีบอกว่า "ชีวิตคนเราแขวนอยู่บนเส้นด้ายของความไม่แน่นอน พี่กับเธอจะจากกันวันไหนก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น พี่จึงพยายามฝึกให้เธออยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง ถึงแม้พี่จะพาเธอไปขึ้นรถประจำทาง แต่ทุกวันนี้พี่ก็นั่งเฝ้าตลอด ส่งเสร็จพี่จึงไปสำนักงานของพี่" ผู้หญิงคนนี้พอรู้สามีรักเธอและภักดีถึงขนาดนี้ เขาทำดีเงียบๆ เพื่อให้เธออยู่ได้ในวันที่ไม่มีเขา เธอก้มหน้ากราบแทบเท้าสามี

เราอยู่ด้วยกันกับใครก็ตาม ควรจะทำให้ดีที่สุด ทั้งคนที่อยู่ต่อหน้าเรา ทั้งงานที่เราทำ และทั้งวันเวลาที่ได้มาใช้ด้วยกัน ถ้าทำทั้งสามสิ่งนี้ให้เต็มบริบูรณ์เมื่อไหร่ ชีวิตนี้ไม่ต้องเสียใจอะไรอีกแล้ว

สรุปคำตอบของคำถามทั้งสามนี้คือ

1.ใครก็ตามที่มาอยู่เบื้องหน้าเรา ณ เวลานั้น ทำให้เขารู้สึกดีกลับไป

2.งานไหนก็ตามที่ทำ ทำอย่างดีที่สุด

3.เวลาที่เรายังมีลมหลายใจอยู่ตอนนี้ใช้มันให้คุ้มค่าที่สุด

ถ้าเราทำให้เต็มบริบูรณ์ ชีวิตนี้ก็สมบูรณ์แบบ ทั้งในแง่ของการปฏิสัมพันธ์ ทั้งในแง่ของงาน ทั้งในแง่ของของการปฏิบัติต่อคนที่เรารัก เพราะฉะนั้นสามคำถามนี้จึงเป็นคำถามแห่งชีวิต ขอฝากให้เราทั้งหลายนำไปคิดต่อ และปรับประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ สิ่งนี้ก็คือพรอันประเสริฐเลิศล้ำที่สุดแล้ว

ข่าวล่าสุด

เจาะรายละเอียด อย.ปลดล็อก ยา ‘ATMP’ ตามความเสี่ยง 3 ระดับ!