วัดใหญ่สุวรรณณาราม ความงามคู่เมืองเพชรบุรี
เพชรบุรีเป็นจังหวัดที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ นัก เดินทางไปง่ายๆ ด้วยรถยนต์หรือรถไฟ
โดย.....พาแลง
เพชรบุรีเป็นจังหวัดที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ นัก เดินทางไปง่ายๆ ด้วยรถยนต์หรือรถไฟ เย็นวันหนึ่งเราพาจักรยานคันเก่งขึ้นโบกี้รถไฟเพื่อไปเดินท่องเมืองเพชรฯ เมืองที่ว่ากันว่าสกุลช่างรุ่งเรืองมาตั้งแต่อดีตจุดหมายของเรานอกจากจะไปปั่นจักรยานเส้นทางเลียบหาดเจ้าสำราญแล้ว เส้นทางรอบเมืองเพชรฯ ก็เป็นอีกเส้นหนึ่งที่น่าสนใจ และวัดใหญ่สุวรรณารามก็คืออีกสถานที่หนึ่งที่ตั้งใจว่าจะไปให้ได้
เช้าตรู่ต่อมาเราไปปั่นสูดอากาศและชื่นชมเส้นทางธรรมชาติของเพชรบุรีไปแล้ว สายๆ เราพักผ่อนไปกับกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ เช่น ละเลียดอักษรพร้อมจิบกาแฟ หรือจะนอนกลางวันก็ไม่ว่ากัน เมื่อแดดร่มลมมา ก็ไม่รอช้าที่จะมุ่งไปที่ถนนพงษ์สุริยา ไม่นานก็เดินทางมาถึงวัดใหญ่สุวรรณาราม อารามที่เต็มไปด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์ ว่ากันว่าเรื่องของวัดนี้มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเลยทีเดียว
วัดใหญ่สุวรรณาราม เดิมชื่อว่า “วัดน้อยปักษ์ใต้” แต่ชาวเพชรฯเรียกกันว่า “วัดใหญ่” เพราะมีเนื้อที่ถึง 20 ไร่เศษ ส่วนค&O5533;ำ ว่า “สุวรรณ”นั้น น่าจะมาจากพระนามของสมเด็จพระสังฆราช (แตงโม) ซึ่งเดิมท่านชื่อ ทอง หรือจะเป็นนามฉายาของท่านว่า สุวณฺณ ด้วยก็เป็นได้ เพราะท่านได้มาปฏิสังขรณ์ครั้งสำ คัญให้วัดนี้ อันเป็นสถานมูลศึกษาเดิมของท่านวัดนี้จึงมีชื่อว่า วัดใหญ่สุวรรณารามตั้งแต่นั้นสืบมา และจากหลักฐานตามพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ทรงระบุไว้ว่า “ภาพและลายในพระอุโบสถนี้คงเขียนมาก่อน 300 ปีขึ้นไป...” จึงสันนิษฐานได้ว่าวัดนี้มีมานานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
วัดใหญ่สุวรรณารามได้มีการปฏิสังขรณ์อยู่หลายครั้ง ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ผู้ปฏิสังขรณ์ครั้งสำ คัญคือ สมเด็จพระสังฆราช (แตงโม) ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยพระครูมหาวิหาราภิรักษ์(พุก) เป็นเจ้าอาวาส ได้สร้างเสนาสนะอย่างอื่นอีกมาก เช่น สร้างพระระเบียงหรือพระวิหารคดรอบพระอุโบสถ สร้างหอสวดมนต์ ปรับปรุงกุฏิสงฆ์ ศาลาคู่ หอระฆัง และสร้างกำ แพงรอบวัดพร้อมซุ้มประตู สระน้ำ ซึ่งมีให้เห็นจนทุกวันนี้
ความโดดเด่นของวัดใหญ่สุวรรณารามอยู่ที่รูปแบบสถาปัตยกรรม งานจิตรกรรมและประติมากรรมที่รวบรวมฝีมือช่างไว้หลากหลายสาขา ที่สำ คัญมีฝีมือของช่างสมัยกรุงศรีอยุธยาไว้ในพระอุโบสถและศาลาการเปรียญ เริ่มจากพระอุโบสถที่เป็นสถาปัตยกรรมทรงไทยสมัยอยุธยาที่มีลักษณะเด่นเป็นพิเศษ มีหน้าบันตกแต่งด้วยปูนปั้นสวยงามมาก ด้านหน้าและด้านหลังผนังหุ้มกลองของพระอุโบสถ มีบานประตูด้านละ 2ช่อง โดยเฉพาะด้านหน้าเจาะช่องหน้าต่างไว้อยู่ระหว่างกึ่งกลางของบานประตู แต่มีขนาดใหญ่กว่าบานประตู พระอุโบสถหลังนี้จึงแปลกกว่าที่อื่นๆ เพราะมีหน้าต่างเพียงหน้าต่างเดียว ผนังด้านในมีภาพจิตรกรรมที่ทรงคุณค่าทางศิลปะเช่น ภาพเทพชุมนุม 5 ชั้น ได้แก่ พระพรหม (มีสี่หน้า) ยักษ์ ครุฑ ฤๅษี เทวดา ไม่ซ้ำแบบกันคั่นกลางองค์เทพด้วยลายดอกไม้
พระพุทธรูปภายในพระอุโบสถที่สำคัญคือ พระพุทธประธาน เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทองปางมารวิชัย ถัดมาด้านซ้ายเป็นรูปหล่อสมเด็จพระสังฆราช (แตงโม) ผู้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์วัดใหญ่สุวรรณารามครั้งสำคัญส่วนภาพขวานั้นเป็นรูปหล่อพระครูมหาวิหาราภิรักษ์ (พุก) อดีตเจ้าอาวาสวัดใหญ่สุวรรณารามและมีพระพุทธรูปโลหะปางมารวิชัยที่พระบาทเบื้องขวามี 6 นิ้ว ประดิษฐานด้านหลังพระพุทธประธานด้วย
หลังจากสักการะพระพุทธรูปภายในพระอุโบสถแล้ว หากเดินทะลุด้านหลังออกมาเราจะเจอศาลาการเปรียญ ซึ่งมีทางขึ้นลงทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยสร้างเป็นบันไดก่ออิฐถือปูนขึ้น-ลงได้ด้านละ 2 ข้าง ตัวอาคารทำจากไม้สักทั้งหลัง หลังคามีมุงด้วยกระเบื้องกาบกล้วย ประดับช่อฟ้าใบระกา ติดกระจก แม้อายุจะเก่าแก่แต่ยังคงความแข็งแรงและคงความสวยงามเป็นอย่างดี ตามตำนานบอกว่า ศาลาการเปรียญหลังนี้สมเด็จพระเจ้าเสือได้พระราชทานท้องพระโรงหลังหนึ่งให้พระอาจารย์ คือ สมเด็จพระสังฆราช(แตงโม) เพื่อใช้เป็นศาลาการเปรียญ น่าเสียดายว่าเราไม่มีโอกาสได้ชมความงามด้านใน เนื่องจากวันที่เราไปนั้นศาลาปิดชั่วคราว
แต่เมื่อมาถึงทางเข้าก็ต้องสะดุดตากับบานประตูศาลาการเปรียญทางทิศตะวันออกซึ่งทำด้วยไม้สัก จำหลักลวดลายและปิดทองประดับกระจกไว้อย่างสวยงาม ซึ่งว่ากันว่าประตูบานนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากตอนบนของบานประตูมีรอยแตก เป็นแผลเหมือนถูกขวานจาม มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า เคยถูกพม่าฟันเพื่อเข้าไปจับคนด้านใน แต่ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าเกิดขึ้นเมื่อสมัยใด แต่ร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์ก็ยังคงเล่าขานกันต่อมาจนปัจจุบัน
หลังจากที่ได้เข้าไปชมศาลาการเปรียญแล้วด้านทิศใต้จะเห็นสระน้ำและหอไตรหลังเก่าอยู่กลางน้ำ เห็นเสาเรียงกัน 3 ต้น และสะพานที่ทอดไปถึงหอไตร รูปทรงเรือนไทยโบราณชั้นเดียว2 ห้อง บริเวณนี้และภายในพระอุโบสถเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “สุริโยไท” ฉากในการเดินทางทางเรือเสมือนว่ามีแม่น้ำลำคลองไหลผ่านวัด หากแต่เป็นเพียงสระที่อยู่ด้านข้างพระอุโบสถเท่านั้น
เมื่อเดินอ้อมมาทางทิศเหนือ ซึ่งเป็นซุ้มประตูระเบียงคดที่หน้าบันทางทิศเหนือนั้นจะติดเลข ๕ ไทยกลับด้าน หลวงพ่อท่าน เล่าว่า เป็นความตั้งใจในระหว่างการบูรณปฏิสังขรณ์วัดใหญ่สุวรรณาราม เพราะขณะที่มีการบูรณะซุ้มระเบียงคดด้านเหนือนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จสวรรคตลง สมเด็จพระสังฆราช(แตงโม) ได้สั่งให้ทำการติดเลข ๕ กลับด้าน ด้วยความหมายว่า รัชกาลที่ ๕ ผู้โปรดฯ ให้ยกวัดใหญ่สุวรรณารามเป็นพระอารามหลวงนั้น จะไม่ได้เสด็จมายังวัดแห่งนี้อีกแล้ว
เราเร่งกราบลาพระ เพราะเวลาไล่หลังเต็มที แต่ยังมีอีกหลายมุมที่ยังเดินไม่ทั่ว และยังมีอีกหลายวัดในเมืองเพชรบุรีที่ยังจะต้องไปเยือนให้ได้


