เย็บ ซิน หรู สิ่งที่มากกว่าการเป็นทายาทอาปิโก ไฮเทค
“เย็บ ซิน หรู” ผู้ช่วยประธานกรรมการบริหาร บริษัท อาปิโก ไฮเทค (AH)
“เย็บ ซิน หรู” ผู้ช่วยประธานกรรมการบริหาร บริษัท อาปิโก ไฮเทค (AH) บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมรถยนต์รายใหญ่ของประเทศ หรืออีกนัยคือผู้บริหารสาววัย 35 ปีที่เป็นผู้ช่วยคนสำคัญของ “เย็บ ซู ชวน” ประธานกรรมการบริหาร ซึ่งเป็นคุณพ่อของเธอที่ปัจจุบันดูแลทั้งฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายการเงิน และความรับผิดชอบอีกฝ่ายที่เพิ่งได้รับการมาดูเพิ่ม คือ ฝ่ายพัฒนาบุคลากร
ทว่า เธอเข้ามาทำงานของครอบครัวนานกว่า 10 ปี สำหรับเธอการผ่านร้อนผ่านหนาวมา 10 ปี มีเรื่องหนักสุดหรือวิกฤตสุด คือ ตอนนั้นน้ำท่วมประเทศไทยปี 2554 สายการผลิตใหญ่ของบริษัทตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค จ.พระนครศรีอยุธยา แต่เธอเชื่อว่าตลอด 30 ปีของบริษัท หรือตลอดการทำงานของคุณพ่อ เจอวิกฤตและปัญหามาหนักมากกว่าเธออีกหลายเท่าตัว ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เธอเห็นต้นแบบของการทำงานและการแก้ไขปัญหาได้ดี
เธอย้อนเล่าช่วงในวัยเด็กให้ฟังว่า ครอบครัวเธอเป็นคนมาเลเซีย และย้ายมาทำธุรกิจที่ประเทศไทยนานมากแล้ว “ซิน หรู” ต้องอยู่ที่มาเลเซียกับญาติจนถึง ป.6 ก่อนจะได้ตามคุณพ่อกับคุณแม่ที่พาน้องสาวที่อายุห่างกัน 5 ปี มาอยู่เมืองไทยก่อน เพราะคุณพ่อให้เหตุผลว่าเสียดายเรื่องการเรียนภาษาจีนที่นั่น พอมาไทยก็เข้าเรียนที่โรงเรียนภาษาอังกฤษ (อินเตอร์) พอจบสนใจอยากจะไปเรียนต่อปริญญาตรีที่ต่างประเทศ แต่คุณพ่อบอกว่าอยากให้เรียนมหาวิทยาลัยในเมืองไทยมากกว่าเลือกเรียนแบบโปรแกรมภาคภาษาอังกฤษก็ได้ เพราะเรามาอยู่เมืองไทย ต้องทำงานที่เมืองไทย เราต้องรู้จักและมีเพื่อนเป็นคนไทย จึงเรียนบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ภาคภาษาอังกฤษ) และถือว่าโชคดีที่ทางบ้านไม่เคยกดดันว่าจะต้องทำอะไร หรือต้องมาช่วยที่บ้าน เพียงแต่รู้ตัวเองว่าไม่ชอบเกี่ยวกับฟิสิกส์ จึงเลือกสอบบัญชีแทน
พอจบมาก็ไม่ได้มาทำที่บริษัท เพราะอยากหาประสบการณ์เอง และได้ทำงานบริษัทที่ปรึกษาการเงินสัญชาติออสเตรเลียขนาดเล็กๆ ที่เน้นไปทางด้านกิจการร่วมทุน (Venture Capital) ซึ่งเป็นที่หนึ่งที่ทำให้เธอได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานมาได้มาก เพราะองค์กรขนาดเล็กก็สามารถเห็นวิธีหรือกระบวนการทำงานทุกส่วน เป็นจุดเริ่มต้นเข้าใจหัวอกคนที่เป็นลูกน้องหรือพนักงานออฟฟิศทั่วไป
ทำได้ 3 ปีก็อยากไปเรียนต่อปริญญาโท แต่รู้สึกว่าอ่านหนังสือและเวลาว่างเกิน เพราะเคยทำงาน 08.30-22.00 น. ว่างไม่ตรงกับใคร เพราะเพื่อนต่างทำงานหมด คุณแม่เลยชวนมาทำงานที่บริษัท เริ่มจากฝ่ายวางแผนการผลิตและโลจิสติกส์ เคยเรียนแต่ภาคทฤษฎีพอมาเจอการบริหารสต๊อก การวางแผนระบบเพื่อผลิตมันมีความสำคัญ คือเข้าใจในระบบงานภาควิศวกรรมมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเราเจอแต่งานที่เกี่ยวกับการเงินและบัญชีมา
สิ่งที่มองเห็นการทำงานของคุณพ่อ คือ การมีหัวคิดทันสมัย มีวิสัยทัศน์ และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เช่น ระบบไอทีปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงทุก 3 ปี คุณพ่อบอกอย่าปล่อยให้เป็นไดโนเสาร์ ถ้าจำเป็นก็ต้องทำ รอไม่ได้ ถ้าเราไม่ทำแต่คนอื่นทำ เราก็จะไม่ทันเขา เพราะตอนนั้นเธอเห็นภาคการผลิตแล้วที่จะสามารถดูแลต้นทุน แก้ปัญหาได้ตรงจุดจากการเปลี่ยนระบบการวางแผนบริหารองค์กรที่เชื่อมโยงการทำงานทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน (ERP) ซึ่งท้ายสุดก็มาช่วยได้ทันสถานการณ์จากวิกฤตน้ำท่วมพอดี ที่ข้อมูลทุกอย่างสามารถดูที่ออฟฟิศในกรุงเทพฯ ได้ ไม่จมไปกับโรงงาน
เธอบอกว่า ด้านหนึ่งคุณพ่อเป็นคนรับฟังความคิดเห็นคนอื่น แต่ทั้งหมดเราเข้าใจว่าพ่อกำลังจะสอนว่า เมื่อทำงานแล้วต้องมีความเป็นมืออาชีพ แยกเรื่องงานกับครอบครัว เพราะหากแผนกเธอทำไม่ดี มีการทำงานผิดพลาด ก็จะมีการต่อว่าในที่ประชุมเลย ถือว่ารับได้ เพราะในฐานะเจ้านายกับลูกน้อง เราต่างเข้าใจว่าควรทำอย่างไร ความเป็นมืออาชีพมันสำคัญที่สุด ไม่เคยใช้ความเป็นลูกหรือเป็นพ่อระหว่างการทำงาน
“เย็บ ซิน หรู” เชื่อว่าการที่บริษัทมีการเติบโตมาถึงวันนี้ เพราะคุณพ่อกับคุณแม่ลงมือทำเป็นตัวอย่างให้เราดูมากกว่า เพราะสิ่งที่เห็นคือ เห็นทั้งคู่ทำงานหนักมาโดยตลอด เขาไม่เคยที่จะมาบอกหรือจ้ำจี้กับเราว่าต้องทำอย่างนี้นะ เด็กๆ เขาทำงานเราก็มาวิ่งเล่นในโรงงาน จะช่วยทำอะไรอื่นบ้างคือ การช่วยคีย์ข้อมูล ซึ่งอาจเป็นการปลูกฝังให้เรารู้จักทำงานมาตั้งแต่เด็กๆ สองคือเรื่องความซื่อสัตย์ พ่อบอกว่าเรื่องนี้จะมีผลต่อเครดิตตัวเอง เพราะจะเป็นตัวการันตีให้เราได้ว่าคนเขาจะเชื่อมั่นในตัวเรามากน้อยแค่ไหนถ้าเราไม่โกงใครก็จะไม่มีใครมาโกงเรา เมื่อเธออยู่ฝ่ายจัดซื้อเองทุกอย่างเห็นด้วยตาเราก็ได้พิสูจน์ว่าเราทำจริง ทุกอย่างต้องเล่นไปตามกติกา อย่างน้อยวันนี้เราทำและสามารถพิสูจน์ได้แล้ว และสาม ต้องทำงานให้ได้รับความไว้ใจและพิสูจน์ฝีมือโดยเลิกคิดไปได้เลยว่าพ่อกับแม่จะยกมรดกหรือบริษัทให้ ทุกอย่างต้องสร้างขึ้นมาเอง
“สิ่งที่เราสัมผัสจากพ่อแม่ได้คือ เป็นคนที่มีความขยันทั้งคู่ พ่อจะเก่งเรื่องการตลาดและหัวทันสมัยมาก ขณะที่แม่เป็นคนละเอียดอ่อน คอยเข้าใจทุกคน ซึ่งก็ตรงกับลักษณะงานแม่บ้านขององค์กรด้านฝ่ายทรัพยากรบุคคลที่ต้องคอยดูรายละเอียดหลายๆ อย่าง ซึ่งเราก็อยากนำข้อดีของทั้งสองคนมาปรับใช้ต่อการทำงานของตัวเอง” เย็บ ซิน หรู กล่าว
นอกจากนั้น ที่สำคัญตอนปีน้ำท่วมใหญ่เห็นเลยว่าพ่อทุ่มเทกับงานและลูกน้องมาก ไม่เคยทิ้งลูกน้องเลย พ่อไปโรงงานทุกวัน พ่อบอกว่าเราต้องไม่ใช่กั้นแต่ที่โรงงานของเราต้องมองไปภาพใหญ่ ต้องกั้นน้ำจากวงกว้างคือ นิคมฯ ไฮเทคก่อน พ่อออกแรงประสานงานทุกอย่าง ตัดสินใจทำที่กั้นน้ำเอง รอใครหรือรองบจากไหนไม่ได้
จำได้ก่อนคืนวันที่น้ำจะเข้าที่โรงงาน พ่อโทรมาบอกว่าคืนนี้ให้เธอมาเฝ้าที่โรงงาน เพราะหัวหน้าโรงงานคนนั้นค่อนข้างมีอายุ และอยู่เฝ้าโรงงานติดต่อกันมาหลายวันแล้ว เราต้องไปเปลี่ยนมาดูแทน ส่วนตัวเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะมันคือหน้าที่ที่ต้องทำ ถึงเวลาก็ต้องช่วยกัน แต่สุดท้ายเราไปไม่ทันน้ำเข้าข้างในก่อน ก็เลยทำหน้าที่ประสานงานจากพ่อวินาทีนั้นเข้าใจว่าทุกคนเศร้า ท้อ แต่ปล่อยผ่านไปไม่เกิน 2 ชั่วโมง พ่อบอกทุกคนว่ามาเริ่มกันใหม่ ลุยกันต่อ มาวางแผนกันให้ดี อย่าปล่อยใจให้ดิ่งไปนาน เพราะถ้าเราท้อถอยและมัวเสียใจอะไรก็ไม่เกิดขึ้น ลูกน้องเองก็จะใจคอไม่ดีตามไปด้วย สุดท้ายกลายเป็นทีมเวิร์กที่ดีมาก
สิ่งที่ทำคือ พ่อวางแผนให้เตรียมเคลื่อนย้ายเครื่องจักรที่เป็นตัวหลักสายการผลิตออกมาให้ได้ เพราะอย่างน้อยแค่เปลี่ยนที่ผลิต แต่เครื่องจักรยังสามารถเดินเครื่องได้ ออร์เดอร์ลูกค้าที่มีอยู่ก็จะไม่สะดุดมาก เพราะเครื่องจักรประเทศอื่นเขาสามารถผลิตรถเก๋งได้ แต่ของประเทศไทยมันคือรถปิกอัพ ไม่มีที่ไหนทดแทนกันได้ พร้อมมองไกลโดยให้ติดต่อที่จะซ่อมเครื่องจักรไว้ก่อนหลังน้ำท่วมทันที จะได้ทำอะไรที่ทันการณ์ ไม่ฉุกละหุก
“ตอนนั้นที่พ่อสอนให้เห็นจากการกระทำและบอกกับพนักงานตลอดว่า การสื่อสารภายในองค์กรเป็นเรื่องสำคัญมาก ยามมีปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องแก้ไขหรือเวลามีวิกฤต สุดท้ายพ่อให้ทุกคนฟังจากหัวหน้าทีมงานเพียง2 คน ในตอนนั้นคือ คนที่ดูแลจัดการที่โรงงานกับที่ออฟฟิศในตัวเมืองเท่านั้น ไม่ว่าลูกค้า ดีลเลอร์ หรือใครจะว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ลูกทีมทุกคนต้องฟังจาก 2 คนนี้เท่านั้น ซึ่งมันช่วยแก้ไขปัญหาได้จริง เพราะทุกอย่างจะจบแค่ 2 คนนี้ทำให้เห็นว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องเด็ดขาดก็ต้องทำ และการบริหารต้องพร้อมแบบยืดหยุ่นด้วย” เธอเล่าถึงการแก้ไขสถานการณ์ตอนน้ำท่วม
ถึงวันนี้ AH มีอายุถึง 30 ปีแล้ว สิ่งที่เธอจะทำได้นั่นคือการสานต่อเจตนารมณ์ของพ่อที่ต้องการให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืนไปอีก 50-100 ปี ทุกวันนี้บางครั้งที่เธอเผลอบ่นว่าเบื่อหรือเหนื่อยกับงาน พ่อได้ยินเข้าก็จะบอกว่า เราเหนื่อยได้ แต่เหนื่อยแล้วถ้าจะเลิกทำบริษัท แล้วพนักงานอีก4,000 คน เขาจะทำอย่างไร หรือมีชีวิตอยู่อย่างไรต่อได้ ถึงจุดนี้พอเหนื่อยขึ้นมาและไปคิดที่พ่อพูดและบอกเอาไว้เหมือนเป็นตัวกระตุ้นการทำงานของเรา ว่าเหนื่อยได้นะ แต่ห้ามท้อถอย ให้ลุกขึ้นมาสู้ต่อ เพราะยังมีชีวิตอีกหลายพันคนอยู่ข้างหลังเรา


