พงศธร ธรรมวัฒนะ ทำธุรกิจอย่ากลัวที่จะล้ม
ในวงการของเล่นเมืองไทย เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก จีฟ-พงศธร ธรรมวัฒนะ ผู้บริหารหนุ่มวัย 26 ปี เพราะนอกจากเขาจะเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนร้านเพลย์เฮาส์ (PlayHouse)
โดย...พุสดี สิริวัชระเมตตา
ในวงการของเล่นเมืองไทย เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก จีฟ-พงศธร ธรรมวัฒนะ ผู้บริหารหนุ่มวัย 26 ปี เพราะนอกจากเขาจะเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนร้านเพลย์เฮาส์ (PlayHouse) ตัวแทนจำหน่ายของเล่นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวบรวมของเล่นแบรนด์ดังมากที่สุดในอาเซียน หนุ่มไฟแรงตรงหน้ายังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังงานแสดงของเล่นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย
อะไรคือเบื้องหลังที่ผลักดันให้จากเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ชอบของเล่น ทำเรื่องเล่นๆ ให้กลายเป็นธุรกิจ และกลายเป็นที่รู้จักในฐานะเจ้าพ่อของเล่นสายอาร์ตในวัยเพียง 20 ต้นๆ
ขบวนการห้าสี ของเล่นสุดโปรด
จีฟ เล่าถึงจุดเริ่มต้นที่มองของเล่นเป็นมากกว่าของเล่นๆ ว่า เขาไม่ต่างจากเด็กผู้ชายทั่วไปที่ชอบเล่นหุ่นยนต์ ตัวโปรดของเขาคือ ขบวนการห้าสี ด้วยความที่เป็นเด็ก ของเล่นทุกชิ้นจึงเล่นเต็มที่สไตล์เด็กผู้ชาย ไม่ได้รักษา จนวันหนึ่งมีโอกาสไปญี่ปุ่น เจอหุ่นยนต์แบบที่มี และได้เห็นราคาของเล่นซึ่งมีมูลค่ากว่าตอนที่ซื้อมาก เขาจึงเริ่มเสียดาย และมองของเล่นในมุมมองใหม่
จากวันนั้นความชอบของเล่นที่มีอยู่เดิมยิ่งเพิ่มทวีขึ้น แต่ยังไม่เห็นช่องทางทางธุรกิจ จนกระทั่งได้มีโอกาสรู้จักกับดีไซเนอร์ทอย ซึ่งเขาให้คำจำกัดความว่า หมายถึง ของที่ออกแบบจากจินตนาการล้วนๆ ไม่จำเป็นต้องอิงจากหนัง หรือการ์ตูน เช่น หมาสามขา สี่หัว เป็นของที่ไม่โหล ผลิตครั้งละไม่มาก เก็บแล้วเท่
“ผมได้ยินคำว่าดีไซเนอร์ทอยครั้งแรกตอนที่ไปห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่ประเทศจีน เห็นคนกำลังต่อแถวซื้อของเล่นอยู่ ผมเลยไปต่อด้วย ปรากฏโชคดีเป็นคนที่ 100 พอดีที่ได้ซื้อของเล่นของดีไซเนอร์ทอย ผมจำได้ซื้อมาประมาณ 3,700 บาท ไม่ถึง 1 ชั่วโมง มีฝรั่งคนหนึ่งมาขอซื้อต่อในราคา 37,000 บาท แต่ตอนนั้นผมไม่ขายนะ เพราะคิดว่ามันต้องมีมูลค่ามากแน่ๆ แค่เวลาไม่นานมูลค่ายังเพิ่มขนาดนี้ ถามว่าทุกวันนี้มูลค่าประมาณเท่าไหร่ ผมว่าน่าจะหลักแสนแล้ว”
จากจุดนั้นเอง จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้จีฟหันมาสนใจสะสมของเล่นที่เป็นของสะสมอย่างจริงจัง จนทุกวันนี้ไม่ต้องถามว่ามีกี่ชิ้น เพราะนับไม่ถ้วน ถึงขนาดต้องสร้างบ้านให้อยู่ เพราะตู้โชว์ของเล่นที่เคยมีถูกจับจองพื้นที่หมดแล้ว แทบทุกห้องในบ้าน ยกเว้นห้องพระ มีของเล่นที่เป็นของสะสมของจีฟยึดพื้นที่ไว้หมด
“ผมรักและหวงทุกชิ้นนะ ผมจะดูแลทำความสะอาดเอง ไม่ให้คนอื่นมายุ่ง ทุกชิ้นที่มีผมไม่เคยคิดจะขาย ยกเว้นไม่มีจะกินจริงๆ (หัวเราะ) เพราะผมมองว่าของเล่นเป็นของที่มีวิวัฒนาการ เป็นมรดกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เหมือนคนเล่นพระเครื่อง เก็บไว้นานก็มีคุณค่าเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา สำหรับผมคิดไว้เล่นๆ นะว่า ก่อนจะเป็นไรไป ต้องเขียนไว้ให้หมดว่าของเล่นชิ้นไหนเป็นอะไร”
ใส่ใจดูแลของเล่นขนาดนี้ ถามว่ามีที่ซื้อมาแล้วพังบ้างมั้ย จีฟตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดนานว่า มี ชิ้นนั้นราคาประมาณแสนกว่าบาท ซื้อมาไม่เล่น ปรากฏฟันเฟืองหลวม ยกมาขาหัก ชิ้นนั้นเป็นบทเรียนสอนเลยว่า ของเล่นซื้อมาแล้วต้องเล่น ไม่เช่นนั้นก็จะเสียไปตามกาลเวลา
ของเล่น เรื่องไม่เล่นที่ทำเงินได้
จากความรักในของเล่น นอกจากจะสร้างอาณาจักรของเล่นแล้ว จีฟยังเนรมิตงานแสดงของเล่นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ในชื่อ Thailand Toy Expo จีฟยอมรับว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ภาคภูมิใจมาก เพราะเขาเริ่มต้นสร้างฝันนี้ให้เป็นจริง โดยต้องก้าวผ่านคำว่าเป็นไปไม่ได้และไร้สาระจากคนรอบข้าง ต้องเสียน้ำตา ทะเลาะกับครอบครัว
“ผมมีโอกาสไปงานแสดงของเล่นที่ต่างประเทศเยอะ ที่ต่างประเทศงานแบบนี้ไม่ใช่งานเทกระจาดขายของ แต่เรามาโชว์นวัตกรรมใหม่ๆ ถามว่าทำแล้วได้อะไร ในแง่ตัวเงิน หลังจากทำมา 3 ครั้ง ตอนนี้ยังขาดทุนนะ แต่ผมมองว่าเป็นการลงทุน อีก 2 ปีข้างหน้าน่าจะโอเค ผมตั้งใจทำงานนี้ เพราะอยากให้คนในสังคมเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อของเล่นว่าไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย ผมอยากเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งที่ช่วยเปลี่ยนแปลงวงการของเล่น ผมอยากให้งานนี้เป็นเหมือนงานมอเตอร์โชว์ ซึ่งเป็นงานโชว์นวัตกรรมของยานยนต์ แต่ Thailand Toy Expo เป็นงานโชว์นวัตกรรมของเล่นใหม่ๆ”
เช่นเดียวกับตอนที่จะเริ่มทำร้านเพลย์เฮาส์กับพี่สาว (แพรพรรณ ธรรมวัฒนะ) ถาม 10 คน 9 คนบอกว่าอย่าทำ แต่เราสองคนพี่น้องเชื่อลึกๆ ว่าธุรกิจนี้ไปได้ เลยตั้งหน้าตั้งตาทำสิ่งที่เรารักดู
“ตอนนั้นหลายคนดูถูกเรานะ เวลาบอกว่าอยากขายของเล่น คนมองว่าปัญญาอ่อนหรือเปล่า กำไรก็น้อย ตัวเป็นหมื่นกำไรแค่หลักร้อย แต่เราคิดว่าอยากทำในสิ่งที่รัก”
ถามว่าตอนนี้จีฟมองว่าตัวเองประสบความสำเร็จในเส้นทางที่รักหรือยัง จีฟบอกว่า เขาคิดว่าตัวเองกำลังอยู่ที่จุดเริ่มต้นของชีวิตอย่างแท้จริง เขากระโดดเข้ามาทำธุรกิจ ทั้งที่ไม่ได้เรียนด้านนี้มาเลย แต่อาศัยเรียนรู้จากประสบการณ์ บทเรียนชีวิตจากผู้ใหญ่ที่เคารพ
“ผมอาศัยเรียนลัดจากประสบการณ์ชีวิตของผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพ ผมไม่ถามนะว่าเขาทำอย่างไรถึงประสบความสำเร็จ แต่ผมจะถามถึงบทเรียนหรืออุปสรรคที่เขาเจอมากกว่า เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องเจอ หรือถ้าต้องเจอจะได้รับมือได้ สิ่งที่ผมบอกตัวเองเสมอเวลาต้องเจอคำดูถูก หรือเจอกับอุปสรรค คือ ถ้าคนเรามัวแต่นั่งคิด ไม่ลอง สิ่งที่ฝันจะไม่เกิดขึ้น คนเราต้องอย่ากลัวที่จะล้ม”
ย้อนกลับไปก่อนจะค้นพบทางของตัวเอง จีฟบอกว่า ไม่ได้วาดภาพตัวเองไว้ทางนี้เหมือนกัน เพราะแรกเริ่มเดิมทีเขาตั้งใจจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ เพราะเรียนมาทางสายวิทย์ แต่พอถึงจุดหนึ่งก็เริ่มเบื่อ เลยฉีกแนวอยากเป็นทูต เพราะได้มีโอกาสดูละครที่เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ แสดงเป็นทูต แล้วประทับใจ
“ผมเห็นแล้วพี่เคนเท่มาก มีสาวๆ รุมกรี๊ด ผมคิดง่ายๆ เลยว่าอยากเป็นแบบนั้น อีกเหตุผลคือ ผมอยากเดินทางไปที่ต่างๆ ทั่วโลก ได้ซื้อของเล่นกลับมา ตอนนั้นผมเลยตัดสินใจเรียนศิลปศาสตร์ อินเตอร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ปรากฏเรียนไปเรียนมา ความฝันนี้ก็ค่อยๆ จางหายไป”
สำหรับอนาคต จีฟบอกว่า อยากใช้ชีวิตแบบมีความสุข ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีโรคภัย เท่านั้นก็พอแล้ว


