เรื่องของไทรและมะเดื่อ
มะเดื่อซึ่งรับประทานผลได้ หรือที่เราเรียกว่าฟิค (Fig) คนไทยรู้จักผลไม้ดังกล่าวมานานแล้ว
มะเดื่อซึ่งรับประทานผลได้ หรือที่เราเรียกว่าฟิค (Fig) คนไทยรู้จักผลไม้ดังกล่าวมานานแล้ว เพราะเรานำเข้า ขายกันเป็นกล่อง หรืออยู่ในซองผนึกกันอากาศ โดยนำเข้าจากแคลิฟอร์เนียบ้าง ตุรกีบ้าง ที่ส่งเข้ามาจากอิสราเอลก็คงมีบ้างแต่ไม่มากนัก
ไทรและมะเดื่อเป็นพืชในสกุลเดียวกัน เช่นเดียวกับยางอินเดีย โพธิ์ ไทร ไกร กร่าง พวกนี้อาจผลัดใบหรือไม่ผลัดใบก็ได้ หลายชนิดมีดอกแยกเพศร่วมต้นเดียวกัน หรืออาจมีดอกแยกเพศอยู่ต่างต้นก็มี ไทรและมะเดื่อมีทั้งที่เป็นไม้ยืนต้น ไม้พุ่ม หรือไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็ง ไทรหลายชนิดเริ่มชีวิตโดยเป็นพืชอิงอาศัย โดยสัตว์เช่น นก หนู กระรอก กระแต หรือแม้แต่ค้างคาวมาถ่ายมูล ปล่อยเมล็ดออกมา สัตว์บางชนิดกินลูกไทร ผลมะเดื่อเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งลิง ค่าง บ่าง ชะนี และนกเงือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนกเงือกนั้น ลูกไทร ผลมะเดื่อเป็นของโปรดของมันเลยทีเดียว ที่ทำงานของผู้เขียนมีต้นไทรยักษ์อายุหลายสิบปีอยู่หลายต้น พวกนี้รอดคมขวานมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว ทุกเช้าเราจะได้ยินเสียงนกนานาชนิดร้องกันเซ็งแซ่ พวกมันแห่กันมากินลูกไทรนั่นเอง สัตว์จำพวกฟันแทะซึ่งระบาดมากในวิทยาเขตบางเขนนี้ก็คือ กระรอก กระแต พวกมันมากันตอนเช้ามืด ไต่กิ่งมาหาลูกไทรสีเหลือง สีแดงกิน บางครั้งลงมากัดดอกกล้วยไม้ บรอมีเลียด ทำความรำคาญอยู่มิใช่น้อย
สัตว์เหล่านี้เมื่อสวาปามผลมะเดื่อสุกและลูกไทรที่แก่จัดเข้าไปแล้ว กระเพาะอาหารมันจะปล่อยเอนไซม์สำหรับย่อยแป้งและโปรตีนออกมา สารเคมีที่อยู่ภายในผลซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งมิให้เมล็ดไทรงอก จะถูกปฏิกิริยาจากน้ำย่อยนี้ทำลาย ดังนั้นเมื่อเมล็ดถูกขับออกมาพร้อมกับกากอาหารซึ่งผ่านการย่อยสลายแล้ว หากถูกความชุ่มชื้นและไม่ถูกแสงแดดเผาจนตายไปเสียก่อน เมล็ดไทรและมะเดื่อเหล่านี้ก็จะปริดูดน้ำเข้าไป เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในเมล็ด ส่วนรากจะถูกพัฒนาออกมาก่อนและตามด้วยส่วนยอดซึ่งสร้างใบอ่อนสังเคราะห์แสงสร้างอาหารให้เกิดการเจริญเติบโตต่อไป พวกนี้ตอนแรกก็ทำตัวดีไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ต้นไม้ที่เมล็ดหล่นไปค้างตามรูตามซอกกิ่งก้านสาขา เราเรียกว่าเป็นระยะแห่งการอิงอาศัย แต่เมื่อมันเติบโตใหญ่ขึ้น มันกลับแข็งแรงส่งรากออกมาหยั่งลงพื้นดิน พอสัมผัสดินได้ก็ยิ่งขยายขนาดส่งรากออกพันรอบต้นไม้ซึ่งมันเคยเกาะอาศัยอยู่ หลายโอกาสเราได้เห็นต้นตาลโตนดถูกต้นไทรพันธุ์ดังกล่าวรัดต้นตาลจนตายไปเอง ฝรั่งจึงตั้งชื่อไทรพันธุ์นี้ว่าฆาตกรนักเค้นคอ (Strangler Figs) หรือเลี้ยงไม่โต จากนั้นขึ้นเป็นต้นเดี่ยวโดยอิสระ ลำต้นและกิ่งอาจหนาหรือบาง แตกกิ่งหรือไม่แตกกิ่งก็ได้ มีหมวกหุ้มตาในระยะแรก ขนาดเล็กหรือใหญ่ติดค้างอยู่หรือหลุดร่วงไปเร็วก็ได้ เหลือแต่แผลเป็นรูปวงแหวนไว้ที่ข้อ ใบเดี่ยวหรือรูปฝ่ามือหรือมีหยักลึกเป็นพูก็ได้ มักพบในต้นอ่อน ใบหนาหรือบาง เรียงตัววนรอบลำต้น การเรียงตัวแบบสลับ สลับระนาบเดียว (Districhous) เกิดตรงกันข้าม (Opposite) ก็มีบ้าง ดอกขนาดเล็ก แยกเพศ กลีบดอกลดขนาดลง ดอกมีตั้งแต่ 2 ถึงหลายพันดอก เกิดอยู่ในฐานรองดอกที่นุ่มฉ่ำน้ำ (Fig) ดอกเพศผู้มีเกสรเพศผู้ 1–7 ดอก เพศเมียมีรังไข่และก้านชูยอดเกสรเพศเมีย ดอกกอลเป็นหมัน เป็นที่อาศัยของแมลงหวีสกุล Blastophaga, Ceratosolen และสกุลอื่นๆ ผล (ฐานรองดอก) มีขนาดต่างๆ ซึ่งเมื่อสุกจะมีสีต่างๆ กัน ช่อดอกไม่มีก้านหรือมีก้าน (Pedunculate) ก้านช่อดอกบางครั้งมีใบประดับติดอยู่ โดยปกคลุมด้วยเกล็ดเป็นแผ่นรูปร่างต่างๆ เมล็ดเล็กจำนวนมาก พบในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน
ตัวอย่างไทรประดับซึ่งคนไทยรู้จักกันดี ได้แก่
1.ไม้ยืนต้น (Tree) นิโครธ (F.benghalensis) ไซคามอร์ฟิค (F.sycomorus), F.citrifolia, F.religiosa, ยางอินเดีย (F.elastica), ไทรย้อยใบแหลม (F.benjamina) กร่าง (F.altissima), ไทรย้อยใบทู่ (F.microcarpa)
2.ไม้เลื้อย (Climber) ตีนตุ๊กแก (F.pumila), เดื่อเลื้อย (F.punctata), F.villosa
3.ไม้กึ่งเลื้อย (Scrambling or half–climbers) F.erecta, เดื่อดินใบม่วง (F.montana)
4.ไม้พุ่ม (Shrub) ไทรใบโพธิ์หัวกลับ (F.detoidea) หลายพันธุ์
ปกติต้นมะเดื่อฝรั่งในถิ่นกำเนิดดั้งเดิมเช่น ตุรกี อิสราเอล โมร็อกโก อิหร่าน ฯลฯ มักเป็นต้นตัวเมีย (Ladyfig Myrna) เกือบทั้งสิ้น ต้นตัวเมียนี้นับเป็น Parthenocarpic Type แต่พระเจ้าก็สร้างให้มีต้นตัวผู้หรือคาปรีฟิค (Gentleman Fig : Capri Fig) เกิดมาอยู่ด้วย แต่มีจำนวนต้นน้อยกว่า ถ้าผ่าผล (Syconium) ออกดูจะเห็นว่าคาปรีฟิคนี้มีแมลงจำพวก Fig Wasp สกุล Blastophaga อยู่ในดอกกอล (ดอกตัวเมียก้านเกสรสั้น) เต็มไปหมด มะเดื่อแต่ละชนิดจะมีแมลงเฉพาะชนิดเช่นกัน แมลงเหล่านี้มีเป็นร้อยๆ ตัว มีทั้งไข่ ทั้งหนอนอยู่ในดอกกอล โดยพวกมันจะไม่ยอมอยู่ที่อื่นเลย นอกจากในคาปรีฟิคนี้เท่านั้น ถ้าออกจากผลไปเมื่อใดมันจะตายหมด ดังนั้นพระเจ้าจึงสร้างให้คาปรีฟิคนี้ออกผลอยู่ตลอดปี โดยมันจะมีเกสรตัวผู้มากมายพร้อมผสมอยู่เสมอ แม้จะยังผลอ่อนอายุน้อย เกสรตัวผู้ก็มีเรณูพร้อมผสมแล้ว ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านในตะวันออกกลาง เช่น อิสราเอล ตุรกี อิรัก อิหร่าน จึงเก็บเอาช่อคาปรีฟิคมาแขวนไว้ให้แมลงตัวเมียท้องแก่ได้ออกมาช่วยผสมกับต้นมะเดื่อต้นตัวเมีย (เลดี้ฟิก หรือมีร์นาฟิก) ซึ่งส่วนใหญ่มะเดื่อจะเป็นต้นตัวเมียนี้ทั้งสิ้น
แมลงบลาสโทฟากาในดอกกอลของคาปรีฟิคนี้ ตัวเมียจะมี 2 ปีกใหญ่ ในขณะที่ตัวผู้ไม่มีปีก ไม่มีหนวด ไม่มีตา ตัวเพรียว เดชะบุญที่ยังมีขา แต่เจ้าตัวผู้นี้มีกิจอย่างเดียว คือ คอยผสมพันธุ์จนเกิดไข่ที่แมลงตัวเมียวางทิ้งไว้ จากนั้นพอหมดหน้าที่มันจะหมดแรงตายไปเอง ส่วนแมลงตัวเมียที่อยู่ในคาปรีฟิคจะไม่ออกจากผลมะเดื่อในต้นคาปรีฟิค จนกว่าจะมีโอกาสได้เห็นแสงแดด โดยต้องรอแมลงตัวผู้ซึ่งช่วยกัดเจาะรูที่ก้น Syconium ทำให้แสงส่องเข้ามา จากนั้นแมลงตัวเมียจะบินออกตามรูตามกลิ่นของผลมะเดื่อจากต้น Myrna (Lady Fig) ซึ่งส่งกลิ่นหอมได้ไกลนับ 100 กิโลเมตรทีเดียว มันจะหอบเอาเรณูติดตัวไปโดยมันจะยัดเรณูเข้าไว้ในแอ่งใกล้ปีกใกล้ลำตัวไปและถ่ายเรณู (จากต้นคาปรีฟิคนี้) เข้ากับดอกของต้น Myrna (Lady Fig) หรืออาจเป็นต้นที่เป็น Parthenocarpic Tree ก็ได้ พอผสมเสร็จใน 4 วัน มันก็หมดอายุตายไป เมื่อฟักไข่เป็นตัว แมลงตัวเมียที่เกิดใหม่จะนำเรณูไปยังผลมะเดื่ออื่นๆ ต่อไป การช่วยผสมเกสรให้เกิดเมล็ดนี้ ทำให้ผลมะเดื่อพัฒนาเติบโตขึ้นอีกจนมีรสชาติอร่อย
เมื่อชาวบ้านเอาช่อคาปรีฟิคไปแขวนไว้กับต้นมะเดื่อต้นตัวเมียนั้น แมลง Blastophaga ตัวเมียท้องแก่ที่ออกมามันหวังบินไปวางไข่ แต่พอเจาะเข้าไปทางรูเปิดที่ก้นผล Lady Fig ได้ ก็ตรงเข้าไปหาเมล็ดในรังไข่ที่มีก้านชูยอดเกสรตัวเมียยาว มันพยายามแหย่อวัยวะวางไข่ (Ovipositor) ลงไป แต่พบว่าอวัยวะส่งไข่มันสั้นเกินไป มันพยายามหาเมล็ดใหม่ผลใหม่ จนในที่สุดมันอ่อนแอลง บาดเจ็บและตกลงมาตาย ซึ่งบางครั้งก็ช่วยผสมเกสรให้โดยไม่รู้ตัว
- มะเดื่อและไทรอยู่ในสกุลฟิคัส (Ficus) ซึ่งมีมากกว่า 750 ชนิด และการกระจายพันธุ์ไปทั่วโลก ส่วนใหญ่พบในเอเชีย และมีประมาณ 100 ชนิด ในทวีปแอฟริกา
- มะเดื่อและไทรทุกชนิดมีน้ำยางสีขาว เป็นที่สังเกตได้ง่าย
- มะเดื่อและไทรส่วนใหญ่มีตายอดซึ่งถูกหุ้มโดยกาบ (Stipuly)
- การสืบพันธุ์ของมะเดื่อและไทรนั้นยอดเยี่ยมมาก เพราะมีดอกตัวผู้ขนาดเล็ก และแยกจากดอกตัวเมียซึ่งมี 2 แบบ โดยเกิดอยู่ในฐานรองดอกนุ่มฉ่ำน้ำรูปกลมที่เรียกว่า ไซโคเนียม (Syconium)
- ผลมะเดื่อจึงไม่ใช่ผลที่แท้จริง แต่เป็นเพียงฐานรองดอกที่เรียกว่าไซโคเนียม (Syconium)


