ปราจีนบุรี-พระตะบอง สองเมืองแฝดคนละฝา
เพราะท่านเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ปราจีนบุรีจึงมีสายสัมพันธ์พิเศษกับพระตะบอง
เพราะท่านเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ปราจีนบุรีจึงมีสายสัมพันธ์พิเศษกับพระตะบอง
ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี คือจุดเริ่มต้นการเดินทางไปสู่จังหวัดพระตะบอง ประเทศกัมพูชา นั่นคือการตามหาตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรอีกหลังที่เป็นต้นแบบของหลังนี้ และค้นหาร่องรอยความเป็นไทยที่ท่านเจ้าพระยาฯ ทิ้งไว้ ซึ่งเป็นหลักฐานความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแผ่นเดียวกัน
ตึกแฝด ปราจีนบุรี-พระตะบอง
ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรสีเหลืองที่ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทย เป็นตึกที่ท่านเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) สร้างขึ้นเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อเสด็จประพาสปราจีนบุรี แต่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เสียก่อนจึงไม่ได้เสด็จฯ มาประทับ ต่อมาตึกจึงถูกใช้เป็นที่ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ส่วนท่านเจ้าพระยาฯ ไม่เคยใช้ตึกหลังนี้เป็นที่พำนักส่วนตัวเลยจนกระทั่งท่านถึงแก่อสัญกรรม มีเพียงร่างของท่านที่ถูกนำมาตั้งไว้บนชั้น 2 ของตึกหลังนี้ก่อนการพระราชทานเพลิงศพ
หลังจากนั้นตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรก็กลายเป็นทรัพย์สินของตระกูลอภัยวงศ์ ทายาทของท่านได้มอบที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดแก่มณฑลทหารราบที่ 2 จ.ปราจีนบุรี เพื่อใช้เป็นสถานพยาบาลสำหรับทหารและประชาชน ต่อมาถูกโอนเป็นของกรมสาธารณสุขเพื่อจัดตั้งเป็นโรงพยาบาลปราจีนบุรี และสิ้นสุดด้วยการเป็นพิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทย ภายในโรงพยาบาลที่ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
เบื้องหลังการพัฒนาตึกต้องให้เกียรติกับ ภญ.ดร.สุภาพร ปิติพร หรือที่เธอเรียกแทนตัวเองว่า “พี่ต้อม” หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ที่เป็นแรงหลักในการหาทุนและพัฒนา เธอยังเป็นนักประวัติศาสตร์ที่รู้รอบเกี่ยวกับตระกูลอภัยวงศ์ และเป็นไกด์กิตติมศักดิ์ในทริปปราจีนบุรีถึงพระตะบองครั้งนี้ด้วย
ตามปกติตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรที่พระตะบองจะไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปด้านใน เพราะยังใช้เป็นสถานที่ประชุมราชการ เดิมทีตึกหลังนี้เป็นศาลากลางของเมืองพระตะบอง แต่เพราะสภาพทรุดโทรมจึงย้ายไปยังศาลากลางหลังใหม่ที่อยู่ข้างกัน แต่การเยี่ยมชมครั้งนี้ได้ติดต่อขออนุญาตไปก่อนจึงมีโอกาสชมภายในและได้สำรวจตัวตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรที่เป็นต้นแบบให้ปราจีนบุรีอย่างใกล้ชิด
ความเหมือนในแง่ประวัติ คือ เป็นตึกที่สร้างโดยเจ้าพระยาอภัยภูเบศรเหมือนกัน และท่านเจ้าพระยาฯ ไม่มีโอกาสได้พำนักเองเหมือนกัน แต่ต่างกันที่วัตถุประสงค์ ตึกที่ปราจีนบุรีสร้างเพื่อรองรับการเสด็จประพาสของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 แต่ที่พระตะบองสร้างเพื่ออาศัยเอง หากยังสร้างไม่เสร็จก็ต้องเดินทางไปปราจีนบุรี
ความเหมือนด้านสถาปัตยกรรม ท่านเจ้าพระยาฯ ได้นำโครงสร้างแบบพระตะบองมาใช้ คือ เป็นอาคารปูน 2 ชั้น หลังคาทรงปั้นหยา มีประตูทางเข้าตรงกลาง มีระเบียงยื่นออกมาบนชั้นสอง ลักษณะตามแบบศิลปะยุคบาร็อค แม้สีตัวเรือนสีเหลืองยังเหมือนกัน แต่ที่ต่างกันก็มีตรงส่วนกลางของหลังคา ตึกที่ปราจีนบุรีเป็นโดม แต่ที่พระตะบองเป็นหน้าจั่ว ลายปูนปั้นตามขอบหน้าต่างด้านนอกที่ปราจีนบุรีจะมี แต่ที่พระตะบองไม่มี ส่วนด้านใน บันไดที่ปราจีนบุรีมีทั้งฝั่งซ้ายและขวา แต่ที่พระตะบองมีแค่ฝั่งซ้าย ลายกระเบื้องแตกต่าง และลายบนเพดานที่พระตะบองไม่มีปรากฏ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปีนี้ (2558) ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรที่พระตะบองจะเปลึ่ยนสถานะเป็นพิพิธภัณฑ์ ประชาชนทั้งพระตะบองและนักท่องเที่ยวจะได้มีโอกาสชมโบราณสถานแห่งนี้ด้วยตาตัวเอง
อนุสรณ์รักสองแผ่นดิน
เจ้าพระยาอภัยภูเบศรเกิดที่พระตะบอง ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ให้เป็นพระยาคฑาธรธรณินทร์ ผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบองสืบแทนบิดา ต่อจากนั้นได้รับยศเป็น “เจ้าพระยาอภัยภูเบศรฯ”ให้ปกครองมณฑลบูรพา ได้แก่ พระตะบอง นครเสียมราฐ พนมศก และศรีโสภณ แต่เพียง 5 ปีต่อมาไทยมีกรณีพิพาทกับฝรั่งเศสจำเป็นต้องแลกมณฑลบูรพาเพื่อรักษาเมืองตราดไว้ ท่านเจ้าพระยาฯ ตัดสินใจทิ้งยศถาบรรดาศักดิ์ที่ฝรั่งเศสให้ปกครองพระตะบองต่อ เข้ามาเป็นข้าราชการธรรมดาภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 อีกทั้งอพยพครอบครัวและบุตรหลานมาตั้งถิ่นฐานในปราจีนบุรี อันเป็นต้นตระกูล “อภัยวงศ์” ในไทย (นามสกุลพระราชทานจาก ร.5)
ท่านเจ้าพระยาฯ ได้นำความคิดถึงบ้านเกิดมาฝากไว้ในปราจีนบุรี อย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรอย่างที่กล่าวไป รวมไปถึงความคำนึงถึงภรรยาเอกของท่าน “คุณหญิงสอิ้ง” ที่ฝากไว้ในวัดแก้วพิจิตร พระอารามหลวง จ.ปราจีนบุรี
ท่านเจ้าพระยาฯ เป็นผู้สร้างและออกแบบอุโบสถวัดแก้วพิจิตรแทนหลังเก่าที่ผุพังไป โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก วัดดำเร็ยซอ ที่พระตะบอง ใต้ฐานพระอภัยทานเป็นที่เก็บโกศของคุณหญิงสอิ้งที่ท่านเจ้าพระยาฯ นำมาจากพระตะบอง และหลังจากที่ท่านวายชนม์ก็นำโกศมาวางเคียงคู่กันจนถึงทุกวันนี้ พี่ต้อมได้ขออนุญาตเจ้าอาวาสเปิดฐานพระ ซึ่งนอกจากได้เห็นโกศของทั้งสองท่านแล้ว ยังเห็นความรักคงกระพันในภรรยาเอกของท่านด้วยในที
ส่วนพระอภัยทานก็มีความสำคัญ เพราะเป็นพระพุทธรูปที่ลักษณะผิดไปจากพุทธลักษณะการสร้างพระพุทธรูป 90 ปาง ทำให้มีองค์เดียวในโลก โดยมีลักษณะนั่งขัดสมาธิ มือซ้ายแบเพื่อขออภัย ส่วนมือขวายกขึ้นเพื่อให้อภัย ท่านเจ้าพระยาฯ สร้างขึ้นด้วยการบวงสรวงขอพร 3 ข้อ คือ ใครใจร้อนจะเย็นลง ใครพูดสิ่งใดก็ตรึงใจผู้ฟัง และหากล่วงเกินใครจะได้รับการอภัยเสมอ
การออกแบบจะเห็นศิลปะ 5 ชาติ ได้แก่ ช่อฟ้าใบระกาของไทย ภาพอาแป๊ะของจีน เสาทรงโรมันและรูปวาดฝรั่งแบบฝรั่งเศส และศิลปะเขมร ส่วนสถาปัตยกรรมเหมือนกับที่วัดดำเร็ยซอคือมีเสาโรมันอยู่รอบอุโบสถ การตกแต่งปูนปั้นที่เหมือนกันคือการสัประยุทธ์ระหว่างพระรามและทศกัณฑ์ทางด้านหน้า และระหว่างพระลักษมณ์และอินทรชิตทางด้านหลังอุโบสถ แต่ก็มีส่วนที่มีแห่งเดียว เช่น ลายปูนปั้นตราแผ่นดินรัชกาลที่ 5 เหนือกรอบประตูทั้งด้านหน้าและหลัง ลายปูนปั้นรูปไก่ลักษณะพิสดาร นักษัตรประจำปีเกิดของท่านเจ้าพระยาฯ และเสาไม้แกะสลักซึ่งมีลายไม่ซ้ำกันในอุโบสถที่พบที่พระตะบองเท่านั้น
วัดดำเร็ยซอเป็นวัดที่ท่านเจ้าพระยาฯ สร้างขึ้นเพื่อแก้บนให้แก่คุณหญิงสอิ้งที่ท่านได้ไปบนไว้กับวัดกอนดาลว่า หากหายป่วยแล้วจะสร้างวัด พี่ต้อมเล่าให้ฟังว่าคุณหญิงป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับจิตเวช คล้ายว่าพอได้ยินเสียงดังจะกรีดร้อง จนมีเรื่องเล่าต่อกันมาด้วยว่าท่านเจ้าพระยาฯ ถึงขนาดสั่งให้ฆ่าหมาทุกตัว ไม่ให้ส่งเสียงรบกวนท่านหญิง รูปของท่านเจ้าพระยาฯ และคุณหญิงสอิ้งถูกเขียนเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในอุโบสถ รูปลักษณ์ของทั้งสองท่านงดงามและดูมีบารมีสมกับเป็นเจ้าเมืองพระตะบอง
...แม้เหตุจำเป็นทำให้ไทยต้องสละมณฑลบูรพาและพลัดพรากเจ้าพระยาอภัยภูเบศรไปไกลจากบ้านเกิดเมืองพระตะบอง แต่ท่านเจ้าพระยาฯ ก็ยังนำความคิดถึงมาประดิษฐานบนแผ่นดินปราจีนบุรี กลายเป็นสายใยบางๆ ของท่านเจ้าพระยาฯ ที่ตอนนี้เริ่มมีคนมองเห็นแล้ว นอกจากนี้เมืองพระตะบองยังเต็มไปด้วยร่องรอยความเป็นไทยโดยมีท่านเจ้าพระยาฯ เกี่ยวข้องอยู่เสมอ แต่ถ้าจะกล่าวต่อในครั้งนี้ดูท่าจะเกินหน้าพิมพ์ หากยังคงสนใจโปรดติดตามฉบับหน้าวันเสาร์ที่ 10 ม.ค. 2558


