พระกิตติสารเมธีเจ้าอาวาสวัดดาวดึงษารามสร้างทั้งวัดสร้างทั้งคน
งานของคณะสงฆ์ไทยที่ไปเผยแผ่ศาสนาที่สหรัฐอเมริกานั้นหนักมากๆ เช่น ต้องต้อนรับแขกเป็น ถ้าหากรับแขกไม่เป็น วัดอาจพังก็ได้ พระสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกาจึงต้องรู้จักต้อนรับแขก
งานของคณะสงฆ์ไทยที่ไปเผยแผ่ศาสนาที่สหรัฐอเมริกานั้นหนักมากๆ เช่น ต้องต้อนรับแขกเป็น ถ้าหากรับแขกไม่เป็น วัดอาจพังก็ได้ พระสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกาจึงต้องรู้จักต้อนรับแขก
โดย...สมาน สุดโต
ผมรู้จัก เจ้าคุณพระกิตติสารเมธี (สุชาติ) เจ้าอาวาสวัดดาวดึงษาราม เมื่อไปนมัสการพระวิเทศธรรมกวี (หลวงพ่อประเสริฐ) เจ้าอาวาสวัดพุทธานุสรณ์ ฟรีมอนต์ สหรัฐอเมริกา ที่มาพักที่วัดดาวดึงษารามระยะหนึ่ง ในวันวิสาขบูชาที่ผ่านมาได้ฟังท่านแสดงพระธรรมเทศนาในพระอุโบสถ และได้สนทนากับท่านในหลายเรื่อง พบว่าท่านเป็นเจ้าคุณหนุ่มที่เอาใจใส่ทั้งการศึกษาและพัฒนาวัดอย่างจริงจัง
เรียนเก่งและไปอเมริกา
พระกิตติสารเมธี เจ้าอาวาสพระอารามหลวงรูปนี้ มีวิทยฐานะ ป.ธ. 8 พธ.บ. อม. (ศิลปากร) มีชื่อเดิมว่า สุชาติ นามสกุล หวลจิตต์ ฉายา กิตติปญฺโญ เกิดเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2506 ที่ อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี แต่ไปเติบโตที่วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยาท เข้ามาเป็นเด็กวัดและบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดดาวดึงษาราม ตั้งแต่ พ.ศ. 2520 หลังจากบรรพชาก็เรียนนักธรรมและบาลี สอบได้ทุกปีทุกชั้นจนถึง ป.ธ. 8 ส่วน ป.ธ. 9 นั้นเคยสอบแต่ไม่ได้ จึงหยุดสอบ ประกอบกับเวลามีน้อยต้องช่วยวัดมากขึ้น เช่น สอนหนังสือตั้งแต่ครั้งเป็นสามเณร เป็นต้น
ก่อนที่จะเป็นเจ้าอาวาสวัดดาวดึงษาราม ได้มีโอกาสไปประจำที่วัดพุทธานุสรณ์ ฟรีมอนต์ สหรัฐอเมริกา 7 ปี ต้องกลับเมืองไทยเมื่อหลวงพ่อพระเทพปริยัติวิธาน (บุศย์ โกวิโท) ผู้เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ เจ้าอาวาสวัดดาวดึงษารามตามตัวกลับ เพื่อให้มารับงานที่วัดต่อเพราะท่านชราภาพมาก กลับมาได้ไม่นานหลวงพ่อพระเทพปริยัติวิธานมรณภาพ แต่ก่อนมรณภาพ 9 วัน ท่านลงนามขอสมณศักดิ์พระราชาคณะให้ในวันที่ 30 มิ.ย. 2546 ถึงวันที่ 9 ก.ค. 2546 ท่านมรณภาพ สิ้นปีนั้นท่านจึงได้รับการโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นพระราชาคณะ และมหาเถรสมาคมมีมติให้เป็นเจ้าอาวาส 10 ก.ย. พ.ศ. 2547 โดยไม่ได้รักษาการแทนเจ้าอาวาสมาก่อน ด้วยว่าคณะสงฆ์ตั้งพระครูรูปหนึ่งที่มีอาวุโสในวัดรักษาการแทน
งานในฐานะเจ้าอาวาส
เมื่อเป็นจ้าอาวาส ได้สานงานต่างๆ ที่หลวงพ่ออุปัชฌาย์ทำไว้ เช่น งานด้านการศึกษา ที่ขณะนี้มีพระภิกษุสามเณรนักศึกษา 90 รูป เป็นสามเณรถึง 60 รูป ถือว่ามาก จนกระทั่งเสนาสนะและที่เรียนไม่เพียงพอจึงสร้างอาคารทรงไทย 4 ชั้น หลังหนึ่ง สำหรับเป็นที่พักของพระอาจารย์ พระและสามเณรนักศึกษา ชั้นล่างจัดเป็นห้องอเนกประสงค์ และ|ห้องเรียนธรรมบาลี ตั้งชื่อเป็นอนุสรณ์ พระเทพปริยัติวิธาน (บุศย์ โกวิโท)
อาคารทรงไทยหลังใหญ่ใช้เวลาก่อสร้างไม่ถึงปีก็แล้วเสร็จ สิ้นงบประมาณไป 15 ล้านบาท กำหนดเปิดเป็นทางการในวันที่ 9 ก.ค. 2553 ซึ่งเป็นวันบุรพาจารย์ ตรงกับวันมรณภาพครบ 7 ปี ของหลวงพ่อพระเทพปริยัติวิธาน(บุศย์ โกวิโท) อีกด้วย
ก่อนจะเปิดอาคารเป็นทางการ ทางวัดจัดงานเททองหล่อพระประธานประจำอุโบสถจำลองขนาด 33 นิ้ว 9 นิ้ว 7 นิ้ว และ 5 นิ้ว ในวันที่ 15 มิ.ย. 2553 โดยสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เป็นประธาน
ฝากผลงานที่อเมริกา
ถามถึงผลงานที่ท่านไปทำที่วัดพุทธานุสรณ์ สหรัฐอเมริกา ในช่วง 7 ปี ท่านว่าทำหลายอย่าง เช่น สร้างอุโบสถ จนแล้วเสร็จ เป็นอุโบสถขนาดใหญ่ มี 4 มุข
ช่วงที่ประทับใจคือใช้เวลา 3 เดือน เร่งสร้างช่อฟ้าใบระกา 16 ตัวจากไฟเบอร์ ให้ทันงานฝังลูกนิมิตอุโบสถ ที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จไปทรงตัดลูกนิมิต ในปี 2539 ถึงปัจจุบันช่อฟ้าใบระกายังถาวร ทองที่ปิดไว้ยังสดใส ไม่ต้องซ่อมแซม
ท่านอยู่ที่นั่นช่วยทำงานวัดมาก จึงไม่มีโอกาสเรียนต่อ นอกจากช่วยงานสร้างพระอุโบสถแล้ว ยังช่วยงานด้านการพิมพ์หนังสือเพื่อเผยแผ่ เพราะชำนาญงานคอมพิวเตอร์
การอยู่สหรัฐอเมริกานาน มองว่างานของคณะสงฆ์ไทยที่ไปเผยแผ่ศาสนาที่สหรัฐอเมริกานั้นหนักมากๆ เช่น ต้องต้อนรับแขกเป็น ถ้าหากรับแขกไม่เป็น วัดอาจพังก็ได้ พระสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกาจึงต้องรู้จักต้อนรับแขกที่แวะไปเยี่ยมเยียน ต้องมีจิตวิทยา เห็นหน้าผู้มาเยี่ยมอ่านออก บอกได้ว่าต้องต้อนรับแบบไหน อย่างไร
เรื่องนี้ท่านยกย่องพระวิเทศธรรมกวี (หลวงพ่อประเสริฐ) ที่สามารถรับแขกได้ดีเพราะพูดเก่ง นอกจากนั้นในฐานะเจ้าอาวาสวัดพุทธานุสรณ์ พระวิเทศธรรมกวี ยังสามารถแจกงานเหมาะกับคน จึงทำงานสำเร็จตามเป้าหมาย ไม่มีปัญหาและอุปสรรค
สิ่งที่อยากเห็นในอเมริกา
เมื่อถามว่าสิ่งที่ยังติดใจและอยากทำในสหรัฐอเมริกามีหรือไม่ ท่านกล่าวว่าในฐานะที่ใช้เวลาในสหรัฐอเมริกา 7 ปี มองเห็นปัญหาของพระไทยอย่างหนึ่ง คือความอ่อนด้อยด้านภาษาอังกฤษ ที่ไม่สามารถสื่อสารกับชาวอเมริกันได้ดีนัก จึงต้องการเห็นพระธรรมทูตที่ไปประจำที่นั่นพัฒนาด้านภาษาให้มากกว่าในปัจจุบัน เพื่อจะทำหน้าที่เผยแพร่ในฐานะพระธรรมทูตได้เต็มที่ หากพระธรรมทูตพูดภาษาอังกฤษ เทศน์เป็นภาษาอังกฤษให้เด็กฝรั่งฟังเข้าใจและรู้เรื่อง จะเป็นเรื่องง่ายขึ้นในการเผยแผ่
พระธรรมทูตที่เข้าไปเผยแผ่ในสหรัฐอเมริกาส่วนมากมีวุฒิปริญญาสูง บางรูปจบ ป.ธ. 9 บางรูปมี MA Ph.D เป็นดีกรีพ่วงท้าย ฝรั่งเห็นก็พอใจว่าต้องเทศน์ภาษฝรั่งคล่อง แต่เอาเข้าจริงไม่ได้อย่างใจ
ท่านเห็นว่าบทบาทพระธรรมทูตมักทำงานไม่ค่อยตรงกับชื่อและหน้าที่ เพราะ 80% ทำงานบูรณะ ปฏิสังขรณ์ และก่อสร้าง พูดง่ายๆ ว่าหนักไปทางกรรมกร จะมีโอกาสเผยแผ่บ้างก็อยู่ในกลุ่มคนไทยคนลาว
ในส่วนตัวของพระธรรมทูตเองก็มีจุดบกพร่อง บางรูปไม่เต็มใจไปเป็นพระธรรมทูต แต่ต้องการไปชุบตัว ผ่าน USA จึงไม่ค่อยจริงใจในการปฏิบัติหน้าที่
ปัญหาที่ไม่น่าจะมีก็มี เช่น พระธรรมทูต กับเจ้าอาวาสเข้ากันไม่ค่อยได้ เนื่องจากไม่รู้จักภูมิหลังของกันและกันมาก่อน ทำให้อยู่ด้วยกันลำบาก การที่เจ้าอาวาสต้องการพระธรรมทูตไปเติมเต็มก็ไม่เป็นไปตามนั้น
ท่านยังต้องการเห็นฝรั่งบวชพระอยู่ประจำวัดไทย เพื่อที่จะเป็นแรงดึงดูดคนท้องถิ่นให้เข้าวัดตามมาด้วย
ฝรั่งหลายคนเคยเข้ามาบรรพชาอุปสมบท แต่อยู่ได้ไม่นาน เพราะวัดไทยป้อนเขาไม่ถูกทาง ทำให้ศรัทธาที่มีแต่เดิมเปลี่ยนไป ทั้งนี้เมื่อฝรั่งเข้ามาบวชพระ คงมีความคาดหวังว่าจะได้ศึกษาจนถึงแก่นพระพุทธศาสนา แต่กลับไปได้งานด้านธุรการ ท่านบอกว่าคงใช้เวลาอีกนานกว่าจะได้เห็นสิ่งที่ท่านอยากเห็น แต่ก็ไม่ถึงกับหมดหวัง เพราะมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จัดอบรมพระธรรมทูตเป็นประจำ และเรื่องภาษาอังกฤษเป็นหัวข้อหลักหัวข้อหนึ่งในหลักสูตรด้วย
สุดท้าย ท่านกล่าวถึงวิทยากรที่อบรมพระธรรมทูต ว่าอย่าสร้างวิมานให้กับพระธรรมทูต เพราะงานพระธรรมทูต หากทำจริงๆ ตั้งใจจริงเป็นงานที่หนักมากๆ


