คาราบาวรวยหุ้นในวันที่เพลงเพื่อชีวิต “ตายแล้ว?!?”
พาไปสำรวจวงการเพลงเพื่อชีวิต หลังจากวงดนตรีอันดับ 1 ของไทย นำบริษัทที่ตัวเองถือหุ้นอยู่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และประสบความสำเร็จสวยงาม
โดย...Magz ออนไลน์
การเข้าตลาดหลักทรัพย์ของคาราบาวกรุ๊ป และราคาหุ้นเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ได้ทำให้ ยืนยง โอภากุล หรือ “แอ๊ด คาราบาว" แกนนำและมันสมองของวงคาราบาวรวยกว่า 4,000 ล้าน โดยวันแรกของการขายหุ้น นักลงทุนแห่เก็งกำไรหุ้นคาราบาวกรุ๊ปคึกคัก มีวอลุ่ม 8 พันล้านบาท อันดับหนึ่งของตลาด ราคาบวก 4.50 บาท แจกกำไรถึง 16% หุ้นบริษัท
สำหรับคาราบาว กรุ๊ป (CBG) ผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ภายใต้ชื่อการค้า“คาราบาวแดง” เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2557 และไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง เปิดตลาด 35 บาท สูงกว่าราคาจองซื้อครั้งแรก 7.50 บาท หรือ 25% จากราคาจอง 28 บาท ก่อนขึ้นทำระดับสูงสุดไว้ที่ 37 บาท ก่อนปิดตลาดที่ 32.50 บาท
บริษัทคาราบาวกรุ๊ป จำกัด เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้มีวงเล็บคำว่า (มหาชน) อยู่ข้างหลัง แม่ทัพของคาราบาวกรุ๊ปประกอบด้วย เสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และยืนยง โอภากุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส
ว่าไปแล้ว เสถียร ก็เป็นคนที่เติบโตมาในสายศิลปะเพื่อชีวิตเพื่อประชาชนในฐานะ “คนเดือนตุลา” เพราะในช่วงเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม ปี 2519 เสถียรกำลังศึกษาอยู่ในคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 และได้เข้าป่าในช่วงเวลานั้น มีชื่อจัดตั้งว่า "หมอคง" ส่วนแอ๊ด คาราบาว คือ "สหายเยี่ยม" ทำงานจรยุทธ์ในเมือง และอยู่ในกลุ่มอีสานใต้เช่นกัน แต่ไม่ได้สนิทสนมกันนัก จนกระทั่งช่วง 8-9 ปีก่อน ซึ่งงานเพลงของคาราบาวซบเซาลง และเสถียรเริ่มทำธุรกิจเปิดโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง ทั้งสองคนจึงพบกันและสานต่อรสนิยมเพื่อชีวิตสู่เครื่องดื่มชูกำลังคาราบาวแดง
หากนับตั้งแต่วันเปิดตัวคาราบาวแดง 28 ตุลาคม 2545 เป็นต้นมา 12 ปีเต็มที่แบรนด์คาราบาวได้เริ่มเลือนจากในฐานะวงดนตรีเพื่อชีวิตอันดับ 1 ของเมืองไทยมาสู่ในร่างของเครื่องดื่มชูกำลัง เพราะแม้แต่ผับเพื่อชีวิตในปัจจุบันยังติดป้ายหน้าร้านเวลาวงคาราบาวมาเล่นที่ว่า “แอ๊ด บาวแดง” ไม่เหมือนเก่าก่อนอย่างที่เคยเป็นมาในฐานะตำนานเพลงเพื่อชีวิต
นี่คือต้นแบบของ “ทุนนิยมเพื่อชีวิต” ที่เคยประสบความสำเร็จจากอุตสาหกรรมดนตรีและวงการบันเทิงผ่านดนตรีซึ่งมีรากเหง้าและอุดมการณ์มาจากศิลปะเพื่อชีวิตและศิลปะเพื่อประชาชน แล้วสามารถสร้างมูลค่าแบรนด์ให้เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย โดยไม่ยึดติดกับภาพลักษณ์แบบเดิมอีกต่อไป
ท่ามกลางขาลงของอุตสาหกรรมเพลงที่ยุบตัวลงอย่างมาก เนื่องจากเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงทำให้การฟังเพลงของคนเปลี่ยนไป และไม่ซื้อเพลงฟังเหมือนในอดีต จากความสำเร็จในตลาดหุ้นของคาราบาวที่ใช้ดนตรีเป็นสื่อกลาง ใช้ความเป็นไอดอลในเชิงมิวสิก มาร์เก็ตติ้ง เป็นฐานกับแฟนเพลงของตัวเอง
เมื่อคาราบาวรวยหุ้น แล้ววงการเพลงเพื่อชีวิตยังมีลมหายใจอยู่หรือไม่?
วงการเพลงเพื่อชีวิตซบเซา
“ผมเบื่อเพลงเพื่อชีวิตแบบจอมปลอมเต็มที...” เป็นคำที่โพสต์ลงบนเฟซบุ๊กของนักคิดนักเขียนแถวหน้าของเมืองไทย หลังจากที่มีบทเพลง “นาวารัฐบุรุษ” ของ แอ๊ด คาราบาว ออกเผยแพร่บนยูทูบเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา บนหน้าเฟซบุ๊กของ Kangplato Fcj ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้บนเฟซบุ๊กของนักเขียนดังก็โพสต์สเตตัสด้วยข้อความว่า “วันฌาปนกิจเพลงเพื่อชีวิต”
จากความคิดเห็นผ่านโซเชียลมีเดียของนักคิดนักเขียนที่มีอิทธิพลของสังคมไทย ต่างเห็นพ้องกันว่า ความคมคาย พลังทางความคิด พลังทางปัญญาที่สะท้อนสู่สังคมของเพลงเพื่อชีวิตไม่มีเหมือนในอดีตอีกแล้ว สอดคล้องกับ ธงชัย เหลืองทอง อาจารย์ประจำ สาขาวิชาดนตรีสากล คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม แม้เขาพยายามจะบอกว่า เพลงเพื่อชีวิตยังไม่ตาย เพียงแต่ซบเซา
“ในทัศนะของผมวงการดนตรีซบเซาหมด ไม่ใช่แค่แวดวงดนตรีเพื่อชีวิต เพราะปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์พาให้ดนตรีทุกแนวทั้งสตริง ลูกทุ่ง เพลงเพื่อชีวิต พาซบเซาไปกันหมด จากผลกระทบตรงนี้ทำให้ภาวะเศรษฐกิจของนักร้องนักดนตรีเพลงเพื่อชีวิตไม่ดีไปด้วย ก็เลยต้องปรับสภาพตัวเองไปรวมเป็นลูกทุ่งเพื่อชีวิตบ้างอย่างนี้
“มองในกลุ่มคนฟังเป็นปัจจัยหลักและวิธีการที่จะได้สิ่งนั้นมาฟัง รวมถึงสภาพของสังคมของประเทศเราเปลี่ยนไปไม่เหมือนอดีต เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ด้วยการเข้าถึงสื่อเพลงนั้นไวและฟังเพลงต่างประเทศได้ง่าย เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ได้ฟังไม่ได้เสพเพลงที่อยู่แต่ในบ้านเรา เด็กๆ รุ่นใหม่สามารถใช้สื่อโซเชียลมีเดียฟังงานเพลงของเกาหลีของยุโรป มีตัวเลือกเยอะทำให้สังคมการฟังเพลงของเด็กรุ่นใหม่ๆ ที่มาทดแทนรุ่นเก่าก็ตามเทรนด์ไปเป็นแฟชั่นเกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน”
ซึ่งในจุดนี้ เขามองว่า เมื่อเพลงเพื่อชีวิตผูกติดกับธุรกิจและสภาพสังคมที่เปลี่ยนไปทำให้เกิดวิกฤติศรัทธาได้เช่นกัน
“ส่วนแฟนเพลงเพื่อชีวิตเก่าๆ ของคาราวาน คาราบาว พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ หรือวงอื่นๆ เขาก็ยังอยู่ เพียงแต่มีอายุมากขึ้น กิจกรรมในชีวิตมากขึ้น เลยไม่ได้ออกมาชูมือเย้วกันเพื่อแสดงเจตนารมณ์ทางสังคมมากนัก มันก็เลยกลายเป็นว่าภาพเหล่านี้น้อยลง ประกอบกับสภาพการณ์ทางธุรกิจเพลง ซึ่งตอนนี้ผมเห็นว่าไม่ว่าเพลงแนวไหนก็แย่กันไปหมด เมื่อนักร้องนักดนตรีไม่สามารถอยู่ได้อย่างราบรื่นกระเป๋าตุงกัน เพื่อชีวิตแท้ๆ บางส่วน หรือนักร้องนักดนตรีรุ่นใหม่ที่จะหันเดินทางมาสู่สายเพื่อชีวิต พอเห็นว่ามันน่าจะแห้งแล้งแน่แล้วก็ไม่เข้ามาในสาขานี้
ถ้าจะมองว่าเป็นปัญหาก็คือไม่มีคนหน้าใหม่ๆ เข้ามาใน วงการเพลงเพื่อชีวิต เราจะไม่เห็นว่ามีนักร้องและวงดนตรีเพลงเพื่อชีวิตที่เขียนเพลงได้คมคายเหมือนในอดีต”
มีหลายเสียงที่บอกว่า ผับเพื่อชีวิตก็น่าจะมีส่วนที่ทำให้เพลงเพื่อชีวิตอ่อนแรงในเชิงความคิดสร้างสรรค์เนื้อหาและดนตรีพัฒนาไปข้างหน้า เพราะต้องทำเพลงเพื่อเน้นความบันเทิงและกินดื่มเพื่อความสนุกสนานยามค่ำคืน
“มีส่วนแต่ว่าไม่มาก ซึ่งนักร้องนักดนตรีเหล่านี้ก็รู้ว่าคนฟังหรือลูกค้าเขาอยู่ตรงไหน แล้วก็ผลิตงานที่ตอบสนองกลุ่มลูกค้าตรงนั้น อยากจะเต้นก็ทำเพลงเต้นเพลงสามช่าให้ก็ทำส่วนนั้นให้ แต่ก็ยังมีวงเพื่อชีวิตที่เขียนเพลงเพื่อสะท้อนสังคมสะท้อนปัญหาบ้านเมืองอยู่ เพียงแต่ว่ามันไม่สามารถจะเกิดขึ้นมาแพร่หลายได้ในสังคม ค่ายเพลงก็ซบเซา ศิลปินใหม่ๆ ก็ไม่อยากจะปั้นขึ้นมา ตัดซิงเกิลกันไป ถ้าเพลงเดียวไม่ฮิตก็ไม่ทำต่อ ทำให้ไม่สามารถทำให้เกิดนักร้องหรือวงดนตรีเพื่อชีวิตที่มีพลังอย่างเช่นในอดีตได้ ปัญหาของการเกิดนักร้องหรือวงดนตรีเพื่อชีวิตรุ่นใหม่ ผมมองว่าคนที่จะฝึกตัวเองขึ้นมาจนเป็นนักร้องนักดนตรีเพื่อชีวิตตามรอยรุ่นพี่รุ่นลุง ถ้าเป็นเด็กรุ่นใหม่เขาก็โตมากับแฟชั่นรุ่นใหม่ของสังคม การถูกดูดเข้ามาในมุมของเพื่อชีวิตแบบแหลมคมก็น้อยลงตามสภาพสังคม นักร้องนักดนตรีก็ต้องการอยู่รอด เพราะถ้าเล่นเพลงเพื่อชีวิตแล้วอยู่ไม่รอดก็ทำให้ใจมันเปลี่ยน แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีกับคนที่มั่นคงกับแนวเพลงเพื่อชีวิตนี้ ผมว่ายังมีอยู่เยอะในสังคมไทย เพียงแต่ว่าไม่สามารถเอางานขึ้นมาให้คนเห็นหรือแพร่หลายในวงกว้างได้มากนัก
“เพลงเพื่อชีวิตยังไม่ตาย แต่วันนี้ยังไม่ใช่วันที่เพลงเพื่อชีวิตจะขึ้นมายืนบนเวทีกระแสหลักได้อย่างเด่นชัดนัก”
“เพลง” ไม่ได้เป็นมูลค่าแบรนด์คาราบาวอีกแล้ว
แอ๊ด บาวแดง กลายเป็นสมญานามใหม่ที่ติดตราตามผับเพื่อชีวิตแทนที่ แอ๊ด คาราบาว ความเปลี่ยนแปลงตรงนี้บอกถึงการคลี่คลายของวงดนตรีคาราบาวที่เทความสำคัญไปสู่แบรนด์ “คาราบาวแดง” มากกว่าความเป็นแบรนด์ดนตรีเพื่อชีวิตอันดับ 1 คาราบาวอีกแล้ว
การตลาดผ่านดนตรีหรือมิวสิค มาร์เกตติ้งอันทรงพลังและทะลุทะลวงรากหญ้า คนหาเช้ากินค่ำผ่านเครื่องดื่มชูกำลัง จากงานวิจัยที่ชื่อ "การเดินทางของคาราบาวจากยุคอุดมการณ์สู่เส้นทางทุนนิยม" (Journey of Carabao from Idealosm to Capitalism) ของ ดร.วรัตต์ อินทสระ ซึ่งภายหลังได้เขียนงานที่เกี่ยวกับแบรนด์และการตลาดของคาราบาวออกมาอีกหลายเล่ม ได้พูดถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญในปี 2545 ที่คาราบาวได้เปิดตัวธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังคาราบาวแดง โดยให้เหตุผลว่ารายได้จากการขายผลงานมีปัจจัยอื่นรบกวนจนรายได้ไม่เพียงพอ โดยในเวลานั้นสังคมได้ตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์คาราบาวอย่างรุนแรง ซึ่งแอ๊ด คาราบาว ยอมรับว่าไม่อาจต้านกระแสทุนนิยมได้อีกต่อไป
ในผลงานวิจัยยังบอกด้วยว่า อุดมการณ์ในการทำงานเพลงของวงดนตรีคาราบาวในปัจจุบันคือ ซื่อสัตย์ต่อตนเองและดนตรีในการทำมาหากิน เป็นนักดนตรีเพื่อชีวิตมืออาชีพที่สามารถยอมรับการเปลี่ยนแปลง ผนึกรวมอุดมการณ์และทุนนิยมเข้ากันได้อย่างกลมกลืน จนเรียกได้ว่าคาราบาวอยู่ในยุคของ Ideocapital ซึ่งมาจากคำว่า Ideology (อุดมการณ์) ผสมกับคำว่า Capitalism (ทุนนิยม)
สำหรับผลการศึกษาในงานวิจัยชิ้นนี้ได้สรุปว่า คาราบาวสร้างผลงานเพื่อสร้างสรรค์สังคมและทำเพื่อคนอื่นมานาน การทำเพื่อตัวเอง เช่น การออกสินค้าคาราบาวแดงจึงไม่มีอะไรน่าตำหนิ ผลงานที่คาราบาวออกมาทุกชุดมีแรงบันดาลใจ มีบริบทแวดล้อม หรือมีสถานการณ์อื่นที่สังคมต้องการคนช่วยแก้ปัญหา สำหรับเครื่องดื่มชูกำลังคาราบาวแดง คาราบาวอาจมีปัจจัยบางประการที่ทำให้มีความจำเป็นต้องทำ เพราะช่วงหนึ่งแฟนเพลงตั้งข้อสังเกตว่า "เพลงเพื่อชีวิตกำลังจะตาย" คาราบาวแดงเป็นเพียงการหาที่ยืนในสังคมให้กับคาราบาว
เพราะฉะนั้น จากงานวิจัยชิ้นนี้ บวกกับสภาพการณ์ที่คาราบาวกรุ๊ปเข้าตลาดหลักทรัพย์สำเร็จด้วยดีจึงพอสรุปโดยอนุมานได้ว่า เพลงเพื่อชีวิตตายแล้ว เพราะการตลาดของคาราบาวแดงที่ใช้ดนตรีคาราบาวเป็นหลัก พร้อมด้วยพนักงานสาวบาวแดงมากกว่า 500 คน เข้าไปจัดกิจกรรมการตลาดในจุดต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงตัวลูกค้าได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ทำให้คาราบาวไม่จำเป็นต้องใช้บทเพลงเพื่อชีวิตในการขายผลงานของวงอีกต่อไป แต่เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของคาราบาวแดง เช่นเดียวกับสาวบาวแดง โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง มองถึงหุ้นของคาราบาวกรุ๊ปว่า จากพื้นฐานหุ้น CBG มี P/E ค่อนข้างสูง 30 เท่า ถือว่าสูงมาก แต่ภายใต้การเติบโตของรายได้และกำไรในปี 2558 คาดว่าน่าจะออกมาดี จากยอดขายที่เพิ่มขึ้น หลังบริษัทมีแผนเพิ่มกำลังการผลิต ทำให้ราคาหุ้นตรงตามเป้าหมายที่ 32-34 บาท
บทเพลงเพื่อชีวิตยุคหมดพลังทางปัญญา
“จริงๆ ผมไม่คิดว่าเป็นช่วงลงหรือไม่ลงของเพลงเพื่อชีวิต หรือแม้กระทั่งหลายคนใช้คำว่า 'เพื่อชีวิตตายแล้ว' แต่ผมกลับไม่คิดอย่างนั้น ผมมองว่าเหมือนอาจจะอยู่ลำบาก เพราะว่าไม่เหลือพื้นที่ให้ แต่ถามว่ามีคนทำงานไหม ก็มีคนทำงานเพลงเพื่อชีวิตออกมากันอยู่ มีคนฟังไหม ก็มี เมื่อมีคนฟังและคนทำงาน ผมว่ามันก็ไปของมันได้โดยอัตโนมัติ เพียงแต่ว่าการรับรู้ในสาธารณะไม่มากพอ เพราะฉะนั้นจึงเข้ามาสู่ยุคสมัยปัจจุบันซึ่งก็คือคนฟังเพลงมีการแบ่งกลุ่มกันมากขึ้น กลุ่มสินค้าและกลุ่มเพลงที่มีคนฟังมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนฟังเพลงเพื่อชีวิตได้กลายเป็นคนฟังเฉพาะกลุ่มหรือนิชมาร์เก็ตไปแล้ว ซึ่งอาจจะไม่มีการรับรู้ในกลุ่มคนฟังวงกว้าง แต่ในกลุ่มคนฟังเพลงเพื่อชีวิตเขาก็รู้กันว่ามีงานเพลงของใครออกมาตรงไหนเมื่อไหร่ มีคอนเสิร์ตมีกิจกรรมกันที่ไหน เขามีการสื่อสารกันอาจจะไม่ได้ผ่านสื่อกระแสหลัก”
อ๊อด-จักรกฤษ ศิลปชัย นักจัดรายการเพลงเพื่อชีวิตหรือดีเจที่เปิดเพลงเพื่อชีวิตจนเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวในฐานะกูรูเพื่อชีวิต ตลอดระยะเวลาเกือบ 30 ปีที่เขายืนหยัดคลุกคลีและเปิดเพลงเพื่อชีวิตตั้งแต่ยุครุ่งเรืองจนร่วงโรยของเพลงแนวนี้ ความศรัทธาของคนฟัง พลังทางปัญญา และการชี้นำสังคมที่หายไป จักรกฤษณ์ยอมรับว่า เป็นส่วนหนึ่ง แต่ว่าส่วนใหญ่ๆ ก็พยายามทำอยู่ แต่จะให้เหมือนยุคก่อนที่ทำยังไม่ได้
“ตลาดเพลงเพื่อชีวิตยุบตัวรวมกับเพลงลูกทุ่ง ธุรกิจเพลงเพื่อชีวิตที่ถูกทำให้เป็นงานขายหรือพาณิชย์ศิลป์ โดยที่จริงแล้วก็เริ่มมาชัดเจนตั้งแต่คาราบาว เต็มที่มาจากปี 2525 เป็นต้นมา ซึ่งโดดเด่นชัดเจนมาก เพียงแต่ว่าปัจจุบันมันชัดขึ้นไปอีก เป็นธุรกิจนำหน้า ซึ่งผมว่าเด็กรุ่นใหม่มองกระแสการเมืองแบบไม่ค่อยแยแส โดยมีมุมมองหรือตรรกะแปลกออกไปจากคนรุ่นเก่า โดยดูได้ผ่านทัศนะในโซเชียลมีเดียต่างๆ อาจะเป็นเพราะความแข็งแรงของการปลูกฝังมันค่อนข้างสับสนและความซับซ้อนทางโครงสร้างของสังคมยุคนี้มันมีมากกว่า ความซับซ้อนมีมากขึ้นแต่การศึกษากลับน้อยลงก็เลยกลายเป็นว่ามันดูแปลกไป ในขณะที่ก่อนหน้านี้เราจะเห็นยุคคาราวาน 14 ตุลาคม 2516 เป็นยุคที่สองค่ายใหญ่ๆ ทางการเมือง คือ เสรีนิยมกับคอมมิวนิสต์ ปะทะกัน แต่ปัจจุบันมันซับซ้อนกว่านั้นเยอะมาก ทำให้เกิดความสับสนในสังคม แล้วการเรียนรู้ที่น้อยลงแต่อยากแสดงทัศนะกันมากขึ้นก็เลยออกมาในมุมแปลกๆ แล้วความคมทางความคิดก็หายไป เพราะว่าการรับรู้หรือการศึกษามันไม่สมบูรณ์พอ”
เพลงเพื่อชีวิตเกิดมาเพราะวิกฤตการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม สร้างวงดนตรีเพื่อชีวิตที่เป็นตัวแทนของยุคสมัย ทำไมยุคนี้ไม่มีวงดนตรีอย่างนี้ อ๊อด-จักรกฤษ มองว่า
“อย่างที่บอกก็คือโครงสร้างความซับซ้อนทางสังคมมันมากไปทำให้สับสน อย่างว่าแต่น้องๆ วงดนตรีเพื่อชีวิตเลย อย่างคนรุ่นใหม่ๆ ส่วนคนรุ่นเก่าเองก็ยังงง หรือแม้กระทั่งตัวผมเองก็ไปไม่เป็นว่า เมื่อเราพูดอะไรออกไปก็จะถูกผลักไปอีกทางหนึ่ง ถ้าพูดทางนี้ก็อยู่กับฝ่ายนี้เลย ถูกจับยัดให้เป็นอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งความจริงเราไม่ได้รู้สึกว่าอยากเป็นฝ่ายไหน เพียงแต่อยากพูดถึงข้อเท็จจริงที่เป็นความจริง แต่ว่าพูดไม่ได้เพราะจะถูกผลักไปอยู่ฝ่ายโลกสวยบ้าง ถูกผลักไปอยู่ฝ่ายอื่นๆ บ้าง ก็มานั่งคิดว่าควรอยู่เฉยๆ ไหม รอดูก่อนไหม ผมว่าตรงนี้เป็นเงื่อนไขหนึ่งซึ่งมีความซับซ้อนเกิดขึ้นแล้วมันน่าสนใจมากในประเทศนี้ ผมว่าคงมีนักร้องและวงดนตรีรุ่นใหม่ๆ หลายๆ คนซึ่งอาจจะจะกล้ายืนอยู่ก็ได้ ผมเห็นอยู่ก็มี หลายคนที่มีงานที่เข้มและคมคายก็กลับไม่กล้าแสดงทัศนะ ซึ่งผมก็ไม่กล้าฟันธงว่าเกิดอะไรขึ้นกับบทเพลงเพื่อชีวิต
“อย่างความแตกแยกของวงการนักคิดนักเขียน ปัญญาชน และนักเพลงเพื่อชีวิตที่เกิดขึ้น ผมก็มองดูอยู่ด้วยความสับสนว่ามันเป็นอย่างไรกัน ผมเคยถามเป็นคำถามเดียวกันว่ากับคุณวิสา คัญทัพ และคุณสุรชัย จันทิมาธร หรือหงา คาราวาน ว่าประชาธิปไตยของพี่ทั้งสองคนไม่เหมือนกันแล้วหรือ มันไม่เหมือนกันได้อย่างไร แล้วทางแก้มันอยู่ตรงไหน สุดท้ายผมก็ไม่ได้คำตอบ เลยค่อนข้างสับสนอยู่ แต่ถ้าตอบในมุมของผมจริงๆ ผมก็ยังยืนยันว่าทุกฝ่ายเขาก็ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยนั่นแหละ แต่เป็นประชาธิปไตยที่ไม่เหมือนกัน มันอาจจะมีปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่เรามองไม่เห็นก็ได้ หรือว่าต่างคนต่างมองในมุมบางมุมของตัวเอง”
มองด้านบวก เพลงเพื่อชีวิตกำลังส่งไม้ให้วงรุ่นต่อไป
ท่ามกลางความโรยราและซบเซาของบทเพลงเพื่อชีวิตแบบเดิมๆ ของวงเพื่อชีวิตพันธุ์แท้ ในทางกลับกันในโลกดนตรีป๊อปและร๊อกร่วมสมัย กลับมีวงดนตรีร๊อกที่ทำเพลงอยู่ในโหมดที่มีกลิ่นอายเพลงเพื่อชีวิตจนคนฟังรุ่นใหม่และเก่ายกนิ้วให้ ไม่ว่าจะเป็นวงอย่าง บอดี้สแลม อพาร์ตเมนท์คุณป้า ซึ่งในบางบทเพลงมีเนื้อหาไม่แพ้วงดนตรีเพื่อชีวิตและมีความร่วมสมัยเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้มากกว่า
อีกวงดนตรีที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นวงอินดี้ร๊อกเพื่อชีวิตอย่าง เดอะ ริชแมน ทอย ที่มีเพลงฮิตอย่าง “กระเป๋าแบนแฟนยิ้ม” ที่หลายคนบอกว่า นี่คือเพลงเพื่อชีวิตพันธุ์ใหม่ อัคราวิชญ์ พิริโยดม มือเบสสมาชิกวงเดอะ ริชแมน ทอย หัวหน้าสาขาวิชาดนตรีสมัยนิยม วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล กลับมองว่า ยุคนี้คนสนใจอะไรที่เป็นเพื่อชีวิตมากขึ้น
“ในที่นี้หมายถึงวัยรุ่นที่เป็นเด็กๆ เลยนะครับ เพียงรูปธรรมยังไม่ชัดเจน แต่ว่าความต้องการของวัยรุ่น ดูง่ายๆ อย่างไปงานเฟสติวัลดนตรีจะเห็นเด็กมัธยมฯ อย่างมีวงคาราบาวไปเล่น เด็กๆ จะสนใจมากเลย ผมมีความรู้สึกว่ามีเรื่องภาพบางอย่างที่เด็กเขาเสพศิลปะดนตรีในยุคนี้กับภาพของวงดนตรีเพื่อชีวิตยุคเก่า การนำเสนอภาพในเรื่องของวิช่วลมันยังไม่เข้ากัน มีความเชยและความโมเดิร์นบางอย่างมันห่างไกลกันมาก แต่ว่าตัวเนื้อหาเพลงและความน่าสนใจของศิลปิน เด็กรุ่นนี้สนใจและชอบ ผมว่าพอมีความก้ำกึ่งกันเรื่องภาพทำให้เด็กวัยรุ่นเข้าไปเต็มๆ ไม่ได้ มันมีความเชยอยู่ อย่างเด็กสมัยนี้เขาดูเพลงจากยูทูบหรือเพลงจากเมืองนอก เขาก็เสพการสร้างวิช่วลแบบสมัยใหม่ ภาพลักษณ์และแฟชั่นที่เขาอัพเดตกันวันต่อวัน เพลงเพื่อชีวิตในยุคนี้เรื่องภาพลักษณ์ไม่จำเป็นที่จะต้องเชยแต่อย่างใดในความรู้สึกของผม ถ้าภาพลักษณ์ไปได้ผมว่าเด็กเอาเลยรับได้เลย”
อัคราวิชญ์ บอกว่าอย่างวงเดอะ ริชแมน ทอย ก็เป็นเพลงเพื่อชีวิต อย่างเพลง “กระเป๋าแบนแฟนยิ้ม” ก็คือเพลง “รักทรหด” ดีๆ นี่เอง เพียงแต่ว่าเนื้อหามันไม่ได้หนักหรือรุนแรงมาก
“พวกเราเป็นวงรุ่นใหม่ที่รับไม้เพลงเพื่อชีวิตมาเหมือนกัน แล้วได้วิชาอะไรบางอย่างมาจากวงรุ่นพี่รุ่นพ่อหมดแหละครับ ไม่ได้ส่งไม้ต่อด้วย ไปขอไม้เขามา เพื่อชีวิตรุ่นก่อนเป็นอาจารย์หมด ซึ่งฟังอัลบั้มของพวกเขาแล้วจะรู้เลยว่า มีไม่กี่คนที่ทำแบบนี้ได้ ด้วยความที่โลกปัจจุบันมันเร็ว วัยรุ่นรุ่นใหม่ไม่มีความเป็นธรรมชาติอยู่ใกล้ตัว อะไรที่เป็นเรื่องราวทางจิตวิญญาณมากๆ จะมีน้อยกว่ายุคก่อนมากๆ เลย แล้วก็มีการสร้างงานกันได้เร็วมากเลย คนที่มีอายุอยู่ในรุ่น 30-40 ปีก็ยังทำเพลงให้วัยรุ่นฟังอย่าง เล็ก กรีซซี่ คาเฟ่ มีเนื้อเพลงที่เปรียบเทียบธรรมชาติ ก็มีแบบนี้ มีประโยคที่ให้วัยรุ่นต้องตีความประมาณนี้
“ผมมีความรู้สึกว่ามีศิลปินรุ่นนี้ที่ออกมาทำงานให้วัยรุ่นฟัง กำลังจะสร้างเนื้อเพลงดีๆ ออกมาในช่วงนี้ เพลงในยุคนี้เด็กสนใจที่เนื้อเพลงส่วนหนึ่งด้วย เพราะว่าเลี่ยนมาตั้งแต่ยุค 90 ถึงยุค 2000 และ 2010 ที่เล่นกับบีท เล่นกับแฟชั่น เล่นกับการนำของเก่ามาใช้ ผมว่ายุคนี้เด็กกำลังกลับไปสนใจที่เนื้อหาของเพลง เพลงเพื่อชีวิตกำลังจะกลับมา เพราะเพลงในยุคนี้จะอ่อนในเรื่องของเนื้อเพลงเมื่อเทียบกับสมัยก่อน เรียกว่าอ่อนกว่ากันเยอะมาก เด็กในยุคนี้เขาก็เริ่มเปลี่ยนแล้ว แทนที่จะเสพเรื่องภาพลักษณ์ก็มาเสพที่เนื้อเพลง เพราะว่าถ้าสังเกตให้ดีเพลงในยุคนี้คนจะหันมาสนใจที่เนื้อเพลงเยอะมาก อย่างเพลงของบอดี้สแลมหรือกรีซซี่ คาเฟ่ หยิบมาฟังก็อยากจะรู้ว่าเขาเขียนเรื่องเกี่ยวกับอะไร วัยรุ่นจะสนใจเรื่องพวกนี้เยอะขึ้น”
อัคราวิชญ์ ฟันธงว่า เพลงเพื่อชีวิตยุคนี้เป็นช่วงรับไม้ระหว่างรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ ถ้าเจอแก๊กนิดหนึ่งจะไปได้เลย การร่วมมือกันทำงานระหว่าเพื่อชีวิตรุ่นเก่ากับคนดนตรีรุ่นใหม่ก็มีความน่าสนใจเยอะมาก
“อย่างแสตมป์ (อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข) กับปู พงษ์สิทธิ์ ที่ร่วมกันทำงานในเพลง "วิญญาณ" พอมาเชื่อมกันมันมีอะไรบางอย่างที่กำลังจะเริ่มเปลี่ยนแปลง เพลงเพื่อชีวิตกำลังจะกลับมาในอีกรูปแบบหนึ่ง ไม่ใช่ในรูปแบบเดิมๆ ซึ่งมันต้องมีการผสมผสานกับคนรุ่นใหม่ด้วยส่วนหนึ่ง เป็นวิช่วลแบบใหม่หรือภาพเอ็มวี รวมถึงทั้งแสงสีเสียง แต่ไม่ใช่นำเสนอเนื้อหาในแนวเพลงเพื่อชีวิตแบบเดิม ผมว่ามันจะไปในทิศทางนั้น”


