สมุนไพรไทย Go เออีซี
ทั้งสร้างแรงบันดาลใจ ทั้งสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้เกิดก้าวย่างที่มั่นใจขึ้นในอนาคตวงการสมุนไพรไทยกับการมอบรางวัล Traditional Medicine-Quality 2013 (TTM-QA)
โดย...ปอย
ทั้งสร้างแรงบันดาลใจ ทั้งสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้เกิดก้าวย่างที่มั่นใจขึ้นในอนาคตวงการสมุนไพรไทยกับการมอบรางวัล Traditional Medicine-Quality 2013 (TTM-QA) ที่เจ้าภาพคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ภาคภูมิใจมากถึงกับเปรียบเทียบกับรางวัล “ตุ๊กตาทองวงการยา” ได้เลยทีเดียว และเป็นการทำงานนำร่องในการยกระดับคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์ยาแผนไทยในโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาแผนไทยสู่ตลาดอาเซียน โดยคณาจารย์คณะเภสัชฯ เข้าไปช่วยแก้ปัญหากระบวนการผลิตและการควบคุมคุณภาพให้โรงงานผลิตยาแผนไทย เป็นการร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อยกระดับยาสมุนไพรให้มีมาตรฐานและความปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคในเกณฑ์ที่กฎหมายระบุ
4 โรงงานคว้ารางวัล TTM-QA 2013 ล้วนเป็นเอสเอ็มอีคุ้นหูคนไทยเรากันทั้งนั้น ผู้คว้ารางวัลยาระดับ “ดีมาก” คือยาเม็ดฟิอองเซของบริษัท ขาวละออเภสัช และต่อมาระดับ “ดี” ซึ่งผู้คว้ารางวัลนี้ชื่อเสียงโด่งดังมากๆ ในย่านตลาดเยาวราชยาวนานถึง 4 รุ่นกว่า 113 ปี บริษัท คั้นกี่น้ำเต้าทอง ส่งผลิตภัณฑ์ยาขมเม็ดน้ำเต้าทองเข้าร่วมปรับปรุงรูปลักษณ์โฉมใหม่ ขึ้นเวทีรับรางวัลระดับ “ดี” อีกหนึ่งเจ้าของยาคุณภาพ
บริษัทผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยเข้าร่วมโครงการ เพื่อพัฒนาตำรับยาเม็ดและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการผลิตยาเม็ด โดยส่งตำรับยาอมมะแว้งรสบ๊วย พัฒนารสชาติเปรี้ยวจี๊ดเก๋ไก๋ถูกใจคนรุ่นใหม่ยิ่งขึ้น และสุดท้ายบริษัท พนาพัฒน์ เฮลท์แคร์ ร่วมโครงการเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตเม็ดยา Laxen คอสมุนไพรรู้จักกันดีในชื่อไทยๆ ยาระบายมะขามแขก คว้ารางวัลยาระดับ “ดี”
ระยะเวลากว่า 18 เดือน ที่คณาจารย์และนักวิจัยในโครงการเข้าไปปัดฝุ่นปรับโฉมยาไทยให้ปิ๊งปั๊งขึ้น ก็เพื่อเตรียมความพร้อมรับตลาดเออีซีในปลายปี 2558 นี้
ยกระดับยาไทย
การทำงานร่วมกับคณาจารย์ที่เข้ามาเป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด พบว่าปัญหาส่วนใหญ่ของทั้ง 4 โรงงานผลิตยาสมุนไพรไทยไม่ค่อยแตกต่างกันนัก เช่น ความแปรปรวนของคุณภาพวัตถุดิบในแต่ละครั้งที่จัดซื้อ วัตถุดิบมีการปนเปื้อน หรือปัญหาใหญ่ๆ ของยาสมุนไพรเกือบทุกเจ้ากับลักษณะทางกายภาพของยาเม็ด เม็ดใหญ่ เม็ดร่วน แกะซองออกมาเม็ดกร่อนก็มี ยาบางชนิดสีไม่สวย ดูแล้วอยากป่วยต่อไม่อยากกินยา!!!
รศ.ภญ.พร้อมจิต ศรลัมพ์ หัวหน้าภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายปัญหาอย่างเช่นเรื่องวัตถุดิบมีการปนเปื้อน ก็มีการประสานกับเกษตรกรผู้ปลูกให้เห็นความสำคัญของกระบวนการที่จะทำให้ได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพดีทั้งการปลูก การล้างทำความสะอาดก่อนทำให้แห้ง หรือบางแห่งก็เปลี่ยนมารับสมุนไพรสดจากเกษตรกรแล้วนำมาล้าง หั่น อบแห้งเองที่โรงงาน ซึ่งทำให้สามารถลดเชื้อจุลินทรีย์และเชื้อราได้ลงอย่างชัดเจน
“การปนเปื้อนเป็นปัญหาใหญ่ของสมุนไพรไทยค่ะ การให้ความรู้ก่อนอบแห้งเป็นเรื่องสำคัญ ปัญหาสำหรับผู้บริโภคคือกังวลใจเรื่องความสะอาดเพราะสมุนไพรเป็นของมาจากดิน จากธรรมชาติ ทุกโรงงานบริษัทผลิตยาสมุนไพร 4 บริษัทเข้าร่วมโครงการก็เห็นความสำคัญค่ะว่าการตรวจคุณภาพดิน น้ำ ก็เป็นอีกแนวทางของการแก้ปัญหา นี่คือเกณฑ์มาตรฐานสากลทั้งทางกายภาพและทางเคมี ซึ่งปัจจุบันนี้ก็มีวิธีการสกัดสมุนไพรด้วยวิธีต้มน้ำ แล้วทำให้แห้งด้วยสเปรย์ดรายก็ทำให้เราพัฒนาสูตรตำรับยาเม็ดได้ดีขึ้น และกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ลงได้ดีไปด้วย
งานนี้เป็นการทำงานระหว่างเอกชนกับคณาจารย์ภาครัฐที่เป็นรูปธรรมชัดเจนค่ะ คนไทยเรารู้จักทั้งยาบำรุง ยาสมุนไพรหลายๆ อย่างแต่ก็ยังมีมุมมองว่ากระบวนการผลิตยังไม่ได้มาตรฐาน และการใช้สมุนไพรไทยตั้งแต่โบราณเราใช้กันในแบบอิงภูมิปัญญา ใช้โดยเชื่อกันรุ่นสู่รุ่น แต่ถ้าจะไปสู่สากลบุกต่างประเทศต้องมีมาตรฐานรองรับ และการร่วมมือพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง เช่น แพ็กเกจจิ้งไม่ทันสมัยก็เป็นโครงการต่อไป สำหรับปัญหาเหล่านี้ถ้าเราพัฒนาก้าวข้ามได้ ดิฉันคิดว่าการก้าวสู่อาเซียนก็จะเป็นไปได้ไม่ยาก” รศ.ภญ.พร้อมจิต กล่าว
การริเริ่มพัฒนาตั้งแต่ผู้ผลิตยาไทย รศ.ภญ.พร้อมจิต กล่าวว่า คุณภาพผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรไทยวันนี้ยังไม่ได้มาตรฐานอาเซียน ซึ่งการผลิตสมุนไพรในหลายๆ ประเทศใช้เกณฑ์การผลิตเดียวกับยาแผนปัจจุบันกันแล้ว สมุนไพรไทยควบคุมโดย สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก็ยังเข้มงวดไม่กับยาแผนปัจจุบัน โครงการนี้จึงเริ่มต้นพัฒนากลุ่มผู้ผลิตยาสมุนไพรก่อนเป็นกลุ่มแรก เพื่อสนับสนุนให้อุตสาหกรรมยาสมุนไพรพัฒนาได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
รู้จักสมุนไพรไทย
เทรนด์สุขภาพคนยุคใหม่ หันมานิยมใช้สมุนไพรเพื่อการดูแลสุขภาพกันมากขึ้น สอดคล้องกับรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมพัฒนาภูมิปัญญาไทย ที่มีการจัดทำบัญชียาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2554 ขึ้น คนยุคแกดเจ็ตลองมาดูกันสิว่า ใครรู้จักยาแผนโบราณชนิดไหนกันบ้าง?!!
อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ รู้สึกไม่สบายครั่นเนื้อครั่นตัวใช้ยาแก้ไข้ สมุนไพรที่ชื่อ “จันทร์ลีลา” “ห้าราก” ไอคันระคายคอลองใช้สมุนไพร “มะขามป้อม” “มะแว้ง” หรือริดสีดวงทวารหนักต้องใช้ตัวนี้เลย! สมุนไพรชื่อโหด “เพชรสังฆาต”
รศ.ภญ.พร้อมจิต อธิบายว่าไม่ใช่เพียงเทรนด์รักษาสุขภาพในคนไทยเท่านั้น แต่กลายเป็นเทรนด์นิยมไปทั่วโลกแล้วกับวิธีการ Prevention หรือการป้องกันก่อนเกิดโรค ซึ่งคุณสมบัตินี้ไม่มีในยาแผนปัจจุบันที่ป่วยแล้วหมอจึงจ่ายยา แต่ยาสมุนไพรมีการกินไว้ก่อนเพื่อป้องกัน ยกตัวอย่างเช่นในฤดูร้อนทำให้ธาตุไฟมีปัญหา คนโบราณก็จะกินยาสมุนไพรตำรับที่เรียกว่า “ตรีผลา” ซึ่งประกอบไปด้วยสมุนไพร 3 อย่าง เช่น ลูกสมอพิเภก ลูกสมอไทย ลูกมะขามป้อม ช่วยให้ชุ่มคอ ระบายดี ป้องกันโรคที่จะเกิดในฤดูร้อนได้
“การรักษาพยาบาลทุกวันนี้ราคาแพงมาก การป้องกันไว้ไม่ป่วยจะดีกว่า ทำให้เทรนด์ 'พรีเวนชั่น' เป็นที่นิยมมาก แล้วจากงานวิจัยใหม่ๆ ก็ค้นพบว่าสมุนไพรไทยเกือบทุกชนิดมีฤทธิ์ต้านสารอนุมูลอิสระ ซึ่งในแพทย์แผนปัจจุบันก็พบว่าเป็นสารทำให้ร่างกายเสื่อมก่อเกิดหลายๆ โรค เพราะฉะนั้นการกินสมุนไพรจึงช่วยทั้งต้านสารอนุมูลอิสระ ทั้งรักษาเฉพาะโรคได้อีกด้วย
ทว่า ปัญหาของวงการสมุนไทยคือไม่มีการวิจัยและพัฒนาตำรับยาที่ต่อเนื่อง โครงการนี้คณะเภสัชฯ ได้ทำงานกับบริษัทยาคุณภาพ ซึ่งเขาก็ต่อยอดโดยนำผลิตภัณฑ์ยาของเขามาทดลองในทางเภสัชวิทยา เพื่อให้รู้แน่ชัดว่าตำรับยาของเขามีฤทธิ์ดีมาก-น้อยแค่ไหน
สมุนไพรไทยที่คนต่างชาติรู้จักและนิยมกินมีอยู่หลายตัวนะคะ "ฟ้าทะลายโจร" บรรจุแคปซูลกินง่ายขึ้น และเป็นทางเลือกสำหรับคนที่ไม่กินยาปฏิชีวนะในอเมริกาและยุโรปนิยมมากในฤดูหนาว ช่วยต้านไวรัสหวัด ขมิ้นชันในกลุ่มอาการระบบทางเดินอาหารก็ท้องอืด ท้องเฟ้อก็ดีมากเช่นกัน อีกตำรับคือตรีผลาที่มีงานวิจัยว่าฆ่าเซลล์มะเร็งได้ แม้กระทั่งยาหอม ซึ่งมีงานวิจัยของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ว่าเมื่อคนเป็นลมความดันตกหัวใจเต้นอ่อน เลือดเลี้ยงสมองไม่พอทำให้หน้ามืด แต่เมื่อใช้ยาหอมจะช่วยให้หัวใจเต้นแรงแต่ไม่เร็ว และเลือดไปเลี้ยงสมองในหนูทดลองอย่างมีนัยสำคัญ
นี่คือภูมิปัญญาไทยเมื่อคิดค้นตำรับยาแต่ละชนิดขึ้นมา ไม่ได้รักษาเพียงอย่างเดียว แต่ยาไทยชนิดเดียวช่วยรักษาได้หลายอย่างทั้งช่วยย่อยอาหาร แก้คลื่นไส้อาเจียน ซึ่งเรื่องเหล่านี้คนรุ่นต่อมาสามารถพัฒนาได้อีกมากมาย ปัญหาจึงไม่ใช่คุณภาพยาสมุนไพรนะคะ แต่คือการต่อยอดงานวิจัยและพัฒนา ซึ่งประเทศไทยไม่ได้ทำอย่างต่อเนื่อง” รศ.ภญ.พร้อมจิต กล่าว
ตำรับนี้เลย...สมุนไพรชนะเลิศ
ตำรับยาประสะมะแว้ง เป็นภูมิปัญญาของไทยที่อยู่ในบัญชียาสามัญประจำบ้าน และบัญชียาหลักแห่งชาติ คนโบราณจะอมมะแว้งเมื่อมีอาการไอ มีเสมหะ ศรายุทธ ศุภอักษร นักพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย (บริษัทร่วมทุนขององค์การเภสัชกรรม) ให้ความรู้เพิ่มเติมว่า ลองพลิกหลังซองดูส่วนผสม เช่น กะเพราแดง ขมิ้นอ้อย ใบสวาด และอื่นๆ จะต้องเท่ากับส่วนผสมลูกมะแว้งต้นและมะแว้งเครือ ตำรับนี้เรียกว่า “ยาประสะ” ซึ่งทุกๆ สิ่งผสมผสานอยู่บนความสมดุล ยาอมตำรับโบราณนี้นำมาปรับใส่ความเปรี้ยวรสบ๊วยให้คุ้นลิ้นคนรุ่นใหม่ จี๊ดจ๊าดขึ้น “หนุ่มสาวสมัยนี้ชอบยาอมชุ่มคอตำรับตะวันตกที่ผสมเปปเปอร์มินต์ พืชเมืองหนาว ส่วนยาไทยเราชุ่มคอเพราะสมุนไพรเมืองร้อนคือ เกร็ดสะระแหน่”
ใครมีอาการร้อนใน ลิ้นแตก ปากเปื่อย คอเจ็บ ก็ต้องหายาขมชงน้ำดื่มแก้อาการและต้องไปถึงสามแยกหมอมี ถนนเจริญกรุง “ร้านคั้นกี่น้ำเต้าทอง” แต่วันนี้น้ำขมเจ้านี้นำมาอัดเม็ดกินง่ายๆ ชวน ธรรมสุริยะ เจ้าของตำรับยาที่ได้รับรางวัล TTM-QA บอกว่าใช้ระยะเวลาคิดค้นสูตรตั้งแต่ปี 2519 กว่าจะสำเร็จได้เม็ดยาที่น่าจะ “โดนใจ” คนรุ่นใหม่ และมีการพัฒนาเป็นน้ำขมจับเลี้ยง น้ำเก๊กฮวย น้ำใบบัวบก น้ำมะขามป้อม ขายบรรจุขวดเมื่อช่วงที่ปีผ่านมา
“ผลลัพธ์น่าเสียใจมากที่สุดคือ น้ำมะขามป้อม ขายไม่ได้ครับ และจากการสำรวจตลาดปรากฏว่ากลุ่มเป้าหมายคือผู้หญิงอายุ 25-35 ปี ไม่รู้จักมะขามป้อม ทั้งที่มีประโยชน์ในเรื่องแอนตี้ออกซิแดนท์ มีฤทธิ์เป็นยาระบาย น่าจะถูกใจสาวๆ รสชาติก็อร่อย ผมต้องเก็บน้ำมะขามป้อมทิ้งไปเพราะเด็กไทยรุ่นใหม่ไม่รู้จักมะขามป้อม” ชวน เจ้าของตำรับยาขมคั้นกี่น้ำเต้าทอง กล่าวทิ้งท้ายอย่างน่าเสียดาย


