‘ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้’ หลักคิดทำงาน ประธานวงศ์ พรประภา
นักบริหารหนุ่มมาดเท่ ประธานวงศ์ พรประภา แห่งสยามกลการอุตสาหกรรม สยามออโตโมทีฟอิควิปเมนท์ ฯลฯ หรือที่เรารู้จักเขาในนาม “ไฮโซพก”
โดย...วราภรณ์
นักบริหารหนุ่มมาดเท่ ประธานวงศ์ พรประภา แห่งสยามกลการอุตสาหกรรม สยามออโตโมทีฟอิควิปเมนท์ ฯลฯ หรือที่เรารู้จักเขาในนาม “ไฮโซพก” ขวัญใจนักร้องสาว น้ำชา-ชีรณัฐ ยูสานนท์ ปัจจุบันประธานวงศ์รั้งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ทั้ง 5 บริษัทที่เขากุมบังเหียนในฐานะทายาทรุ่นที่ 3 สยามกลการในมุมมองของนักบริหารหนุ่มวัย 29 ปีคนนี้ คือ พัฒนาจุดแข็งด้านการบริการที่มีอยู่ เพื่อสานต่อธุรกิจของ “พรประภา” ตระกูลคหบดีผู้มั่งคั่งและเก่าแก่ที่ทำธุรกิจนำเข้ารถยนต์นิสสัน โรงเรียนดนตรียามาฮ่า และนำเข้ารถอุตสาหกรรมหนัก อาทิ รถปั้นจั่น รถขุดเควายบี แบตเตอรี่รถยนต์ และธุรกิจอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มสยามกลการให้แข็งแกร่งมากขึ้น
“ปัจจุบันผมดูแลอยู่ 4-5 บริษัทที่ดำเนินธุรกิจคล้ายๆ กัน แต่เราแยกธุรกิจออกมาเป็นเช่ารถ เชื้อเพลิง สยามกลการอุตสาหกรรมทำหลักๆ คือ ขายรถยกแบรนด์นิสสัน ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ผมดูในฝ่ายบริหารบริษัท ตอนนี้ผมอยากโฟกัสไปที่ธุรกิจรถยก ซึ่งนิสสันได้ร่วมกับ Unicarriers ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยกของประเทศญี่ปุ่นจำหน่ายฟอร์คลิฟท์ เป็นรถยกในอุตสาหกรรมแทบทุกประเภท และธุรกิจโลจิสติกส์ คลังสินค้าขนาดใหญ่ใช้ฟอร์
คลิฟท์ทั้งนั้น ซึ่งในตลาดมีหลากหลายแบรนด์ โดยแบรนด์ Unicarriers มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมเป็นอันดับสอง ซึ่งผมอยากลุยเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะตอนนี้ธุรกิจเราดี เรามี
จุดแข็งทางด้านบริการเช่ารถยกและมีบริษัทใหญ่ๆ เป็นคู่แข่งเยอะทั้งที่ผลิตจากจีน อเมริกา และยุโรปซึ่งอาจต่อสู้กันด้วยราคา เราจึงมีจุดแข็งคือการให้บริการหลังการขาย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก อีกทั้งรถยกของเราผลิตหลักๆ เป็นสินค้าที่ผลิตในญี่ปุ่นคุณภาพสินค้าดี แล้วผมคิดว่าเราได้เปรียบเพราะเราอยู่ในตลาดรถยกเช่ามาก่อนตั้งแต่ยุคคุณพ่อ เราจึงเชี่ยวชาญด้านการคุมช่าง คำนวณราคาที่เราพอจะเซอร์วิสลูกค้าได้ แล้วยังพอมีกำไรเหลือที่จะทำให้ธุรกิจก้าวหน้าต่อไป ซึ่งกลยุทธ์บริษัทอื่นในธุรกิจเดียวกันอาจจะทำให้ราคาสินค้าถูกลง แล้วไปตัดการให้บริการ ซึ่งเราไม่ทำ สู้เราเซอร์วิสให้ดีดีกว่า ทั้งนี้ต้องขอบคุณคุณพ่อเพราะกลยุทธ์ด้านการตลาดเกือบทั้งหมดคุณพ่อ เป็นผู้วางแผน ซึ่งส่งผลดีมาถึงรุ่นของผม”
2 ปีแล้ว หลังจากประธานวงศ์ไปดูแลด้านการบริหารโรงแรมสยามแอทสยามในเครือสยามกลการมาราว 1 ปี คุณพ่อของเขาจึงเห็นว่าพร้อมแล้วที่เขาจะเข้ามาสานต่อธุรกิจโลจิสติกส์ต่อจากคุณพ่อ
“ก่อนพ่อจะมอบหมายงานให้ทำ พ่อถามว่า ผมอยากทำอะไร แต่ก่อนถามพ่อจะให้ผมลองงานที่หลากหลาย อย่างการทำงานโรงแรมทำให้ผมรู้ว่าการบริหารโรงแรมเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากๆ ในฐานะผู้บริหารต้องใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เยอะมาก ซึ่งแตกต่างจากงานบริหารองค์กรที่ผมทำอยู่
ตอนนี้ คือหลักการบริหารโรงแรมอื่นๆ คือ ลูกค้าต้องมาก่อน ลูกค้าต้องมีความสุข แต่พ่อผมให้หลักบริหารคือ พนักงานต้องรู้สึกมีความสุขก่อนจึงจะสามารถทำให้ลูกค้ามีความสุขตามมาได้ ผมคิดว่าเป็นไอเดียที่แปลกดี เพราะผมเข้าใจว่าคุณพ่ออยากทำโรงแรมที่แปลกและแตกต่างจากที่อื่นๆ แบรนดิ้งโรงแรมของเราคือ ความทันสมัย เก๋ เฉี่ยว อาจมาจากตัวคุณพ่อที่มีความทันสมัย และเป็นความฝันของคุณพ่อคือ คุณพ่อจบการท่องเที่ยว พ่อก็อยากทำโรงแรมแต่คุณปู่ให้คุณพ่อมาดูนิสสันก่อน จนเมื่อถึงเวลาที่คุณพ่อรีไทร์ ผมก็ทำตามความฝันคือทำโรงแรมสยามแอทสยาม
ถือเป็นการสร้างแบรนด์เองและเป็นความภาคภูมิใจของคุณพ่อ”
ในฐานะเจเนอเรชั่นที่ 3 แห่งตระกูลพรประภา ซึ่งในสุภาษิตความเชื่อของจีน มักพูดว่า เจเนอเรชั่นที่ 1 เป็นผู้ก่อตั้ง เจเนอเรชั่นที่ 2 จะทำให้ธุรกิจขึ้นสูงถึงขีดสุด และเจเนอเรชั่นที่ 3 จะเป็นผู้ทำให้ธุรกิจซบ ซึ่งเขาขอค้านหัวชนฝาว่า เป็นเรื่องยาก
“เราเป็นเจเนอเรชั่นที่ 3 เมื่อรุ่นที่ 2 ทำให้บริษัทขึ้นไปจนถึงจุดท็อปแล้ว จากนั้นการเจริญเติบโตจะช้าลง แต่ผมในฐานะรุ่นที่ 3 ผมมีแนวคิดว่าเราจะจับธุรกิจอย่างอื่นเพื่อให้บริษัทโตขึ้นอีก 80% สยามกลการเป็นรถอุตสาหกรรมอย่างเดียวเราอาจจะรู้สึกอิ่มตัวได้ แต่เราเป็นรุ่นที่ 3 เราต้องการหาอะไรใหม่ๆ แตกไลน์ออกไปด้านอื่นบ้าง ไม่ใช่มุ่งยานยนต์อย่างเดียว เรายังมีโรงแรม สนามกอล์ฟ เพราะผมมองว่า การท่องเที่ยวเป็นจุดขายของไทยอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีฐานที่ใหญ่มาก ซึ่งประเทศไทยได้เปรียบ หน้าหนาวของยุโรปคนจะมาเที่ยวไทย ออสเตรเลียก็ชอบท่องเที่ยวในไทยมาก เราจึงได้เปรียบด้านท่องเที่ยว เจนฯ สามเราอยากพัฒนาไป อย่างครอบครัวผมมีน้องสาวดูด้านโรงแรม และน้องชายอีก 2 คน เราอยากทำแตกไปทางไหน เราตอบยาก เพราะแต่ละคนมีความสนใจไม่เหมือนกัน แต่รายได้หลักมาจากบริษัทแม่ซึ่งปัจจุบันมีผลกำไรที่ดีมาก”
สำหรับหลักคิดทำงานของหนุ่มนักบริหารคนนี้ คือ มีความสุขกับสิ่งที่ทำ เพราะหากทำงานโดยไม่มีแรงปรารถนา ก็จะไม่ประสบความสำเร็จไปได้ ในทิศทางเดียวกันหากทำงานแล้วมีจุด
มุ่งหมาย จะทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ
“ผมรู้สึกสนุกกับการทำงาน เพราะเป็นความท้าทายในการทำงานระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ แต่เรามาทำงานร่วมกันได้ แต่ในฐานะเป็นคนรุ่นใหม่เมื่อผมเข้ามาก็อยากให้บางอย่างเปลี่ยนแปลง เช่น ทำงานอย่างกระฉับกระเฉงมากขึ้น แต่ปัจจุบันผมยังเห็นความก้าวหน้า ผลการบริหารงานออกมาดี ผมจึงรู้สึกสนุกในการเปลี่ยนแปลง แต่ทั้งนี้ก็ต้องค่อยๆ ปรับไปทีละนิด ผมอยากตั้งเป้าเชิงรุกตลาดมากขึ้น เช่น การจัดแคมเปญ การต่อสู้เรื่องราคา การพัฒนาเรื่องให้บริการ ณ ตอนนี้เราบุกเชิงรุกขึ้นเยอะ” และค่าที่เป็นนักบริหารรุ่นใหม่ไฟแรง อยากคิดทำอะไรต้องทำเลย และสนับสนุนให้พนักงานแอ็กทีฟในการทำงานอยู่ตลอดเวลา
“ผมอยากให้พนักงานทุกคนรักในสิ่งที่ตัวเองทำ สองคือรู้สึกสนุกกับการทำงาน ผมคิดว่าสองสิ่งนี้ต้องไปด้วยกัน อีกสิ่งหนึ่งคือ ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ เพราะผมคิดว่าสิ่งที่ทำไม่ได้ ไม่มี ทุกอย่างมีทางออกเสมอ ซึ่งผมอยากให้พนักงานคิดเหมือนกัน”
อย่างไรก็ดี ตลอด 2 ปีที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหาร เขาพบอุปสรรคในการทำงานก็คือ ความเป็นคนรุ่นใหม่ที่คิดเร็วทำเร็ว และใจร้อนในบางครั้ง อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงในเร็ววัน แต่โลกแห่งความเป็นจริงทำไม่ได้ดังใจก็ต้องปรับให้ใจเย็นลง และเข้าใจระหว่างวัฒนธรรมรุ่นเก่าที่ไม่ชอบความเปลี่ยนแปลง และปรับเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ อีกทั้งเขาพยายามเข้าใจผู้ใต้บังคับบัญชามากขึ้นว่า แต่ละคนมีจุดแข็งที่ไม่เหมือนกัน และไม่มีใครเก่งไปเสียทุกด้าน
“ลูกน้องแต่ละคนเราต้องเข้าใจว่า เขาอ่อนทางไหน อย่างการทำงานเราต้องมีมือขวามือซ้ายซึ่งเก่งไม่เหมือนกัน เราต้องรู้ว่าช่องโหว่อยู่ตรงไหน และต้องอุดช่องตรงนั้น และเราต้องใช้คนให้ถูกกับงาน คิดเสมอว่าทุกอย่างคนคนเดียวทำไม่สำเร็จ ต้องร่วมแรงร่วมใจ
กันงานจึงจะประสบความสำเร็จ”
สุดท้าย สิ่งที่อยากฝากบอกไปถึงการบริการลูกค้าซึ่งถือเป็นบุคคลสำคัญคือ อยากให้ลูกค้ามองการให้บริการที่มีคอนเซ็ปต์
“ผมอยากให้ลูกค้ามองเราว่าเป็นพาร์ตเนอร์ ไม่ใช่ผู้ซื้อกับผู้ขาย แต่เราเป็นหุ้นส่วนที่จะเติบโตไปด้วยกันมากกว่า”


