ขีดจำกัด
ขีดจำกัดของเราต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่ที่ตรงไหน?
ขีดจำกัดของเราต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่ที่ตรงไหน?
บางคนอาจบอกว่าเมื่อเราเหนื่อย บางคนอาจบอกว่าเมื่อเรารู้สึกพอ บางคนอาจบอกว่าเมื่อมีสิ่งที่คาดหวังเอาไว้อยู่ในมือแล้ว
แล้วการก้าวข้ามขีดจำกัดนั้นเป็นไปได้หรือไม่?
บางคนบอกได้แต่ต้องใช้ความพยายามมาก บางคนบอกไม่ได้เพราะที่ทำอยู่นี่ก็ถือว่าถึงขีดสุดที่ทำได้แล้ว บางคนก็ถามกลับว่าที่ทำอยู่ก็ดีพอแล้ว จะเคี่ยวกรำตัวเองให้ต้องเหนื่อยเพิ่มไปเพื่ออะไร
ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่กำลังออกฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์บ้านเราในขณะนี้ บอกเล่าบางแง่มุมของคำว่า “ขีดจำกัด” เอาไว้อย่างน่าสนใจ
“Whiplash” หรือชื่อไทยว่า “ตีให้ลั่น เพราะฝันยังไม่จบ” คือชื่อของภาพยนตร์เรื่องนั้น เนื้อเรื่องเล่าถึงชีวิตของ แอนดรูว์ มือกลองหนุ่มวัย 19 ปี ผู้มีความใฝ่ฝันที่จะเป็นมือกลองวงแจ๊ซระดับประเทศ
กว่าจะถึงวันที่ประสบความสำเร็จเด็กหนุ่มก็ต้องเผชิญกับแรงกดดัน การทุ่มเท และสารพัดเรื่องราวที่เข้ามาพิสูจน์ความแข็งแกร่งของหัวใจ กว่าครึ่งในแรงกดดันนั้นก็คือการถูกมอบบทเรียนจาก เทอเรนซ์ เฟลชเชอร์ ครูสอนดนตรีสุดเฮี้ยบ โดยฉากแรกที่โชว์ความเข้มของครูสอนดนตรีรายนี้ในตัวอย่างภาพยนตร์ก็คือฉากที่เขาเขวี้ยงสิ่งของใส่แอนดรูว์ ทันทีที่ตีกลองคร่อมจังหวะ แถมเข้าไปคาดโทษด้วยน้ำเสียงสุดดุดัน
บทสนทนาตอนหนึ่งในภาพยนตร์ เฟลชเชอร์ กล่าวว่า “ฉันกระตุ้นทุกคนให้ไปไกลกว่าที่ตัวเองคาดหวัง ฉันคิดว่านั่นคือหนทางเดียวที่จะเป็นที่หนึ่ง”
จริงๆ แล้วมนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ไร้ขีดจำกัดในการพัฒนาตัวเอง และเรียกได้ว่าไม่มีกำแพงใดๆมาขวางกั้นการพัฒนานั้นได้ แม้สิ่งแวดล้อมจะไม่อำนวยแต่เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งเราก็จะสามารถหาทางทะลุออกมาจากสิ่งที่ขวางกั้นได้อยู่ดี เพราะไม่เช่นนั้นจากดึกดำบรรพ์โลกและสังคมของมนุษย์คงไม่พัฒนาจนมีความเจริญก้าวหน้ามาจนถึงปัจจุบันเยี่ยงนี้
ใช่หรือไม่ว่าบรรดาขีดจำกัดที่เราคิดว่ามันมีอยู่นั้น แท้จริงแล้วล้วนแต่เป็นเรื่องที่เราคิดไปเองจากความเคยชิน หรือความที่ไม่อยากเหน็ดเหนื่อยมากไปกว่าเดิม
เรามักคิดว่าสิ่งที่อยู่นี่มันสุดความสามารถแล้ว หรือทำเต็มที่แล้วได้เท่านี้ แต่ในความเป็นจริงเราสามารถพัฒนาตัวเองให้มีความสามารถมากยิ่งไปกว่าเดิมได้ เราสามารถทะลุกำแพงที่คิดว่ามันเป็นขีดจำกัดของตัวเราได้ เพียงแต่การจะทำเช่นนั้น อาจต้องอาศัยพลังกาย พลังใจ และการทุ่มเทมากกว่าที่เป็นอยู่หลายต่อหลายเท่า
ใครบางคนบอกว่า “ความสบาย” มักฆ่าเราให้ตายไปอย่างช้าๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะเมื่อรู้สึกสบายคนจำนวนไม่น้อยก็มักจะติดอยู่กับความสบายนั้น และไม่ยอมที่จะก้าวเดินต่อไป หรือเปลี่ยนแปลงใดๆ เพราะกลัวจะสูญเสียความสบายเหล่านั้นไป สุดท้ายผู้คนเหล่านั้นก็จะสร้างขีดจำกัดขึ้นมาเป็นเหตุผลเพื่อบอกกับตัวเองว่า ที่ไม่ลุกขึ้นก้าวเดิน หรือไม่ยอมเปลี่ยนแปลงก็เพราะว่าถึงขีดจำกัดของตัวเองแล้ว จะให้ทำอะไรมากไปกว่านี้ก็คงทำไม่ได้แล้ว
ความสบายมักแสดงให้เห็นชัดในเรื่องของการทำงาน เพราะเมื่อทำงานมาถึงจุดหนึ่งจนทุกอย่างดูจะเข้าที่เข้าทาง ก็มักจะทำให้เราหยุดความพยายามที่จะเดินไปข้างหน้าลงอย่างช้าๆ ด้วยความคิดที่ว่าที่ทำอยู่นี้ก็ดีแล้ว เพียงพอแล้ว และปฏิเสธที่จะเปลี่ยนแปลง หรือก้าวไปสู่สิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำ ทว่า ในความเป็นจริง โลกที่กำลังหมุนและก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทุกๆ วัน กำลังจะทิ้งเราให้อยู่ข้างหลังเข้าโดยไม่รู้ตัว
อย่าปล่อยให้คำว่า “ดีพอแล้ว” และ “ขีดจำกัด” ฉุดคุณสุดไว้ให้อยู่กับที่ดังเช่นที่ เฟลชเชอร์ ครูสอนดนตรีสุดเฮี้ยบกล่าวไว้ในภาพยนตร์เรื่อง “Whiplash” ว่า “ไม่มีคำไหนในโลกที่จะทำร้ายจิตใจไปมากกว่าคำว่า ดีพอ”


