สวนไม้อวบน้ำและกระบองเพชร (2)
กล่าวถึงสวนไม้อวบน้ำ (Succulents) ในต่างประเทศไปในฉบับที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึง
กล่าวถึงสวนไม้อวบน้ำ (Succulents) ในต่างประเทศไปในฉบับที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงบางสภาพภูมิประเทศในเมืองไทยที่มีพืชจำพวกไม้อวบน้ำและกระบองเพชรขึ้นอยู่ แม้จะไม่ใช่พืชพื้นถิ่นดั้งเดิมของประเทศไทยก็ตาม กล่าวมาแล้วว่าพื้นที่ร้อนแล้งยาวนานโชนหนึ่งของไทยคือ เขตปลอดฝนแถบประจวบคีรีขันธ์ ขึ้นไปจนถึงเพชรบุรี ราชบุรี บางส่วนซึ่งภูมิประเทศดังกล่าวถูกบดบังฝนด้วยทิวเขาตะนาวศรี ซึ่งทอดตัวกั้นเขตชายแดนไทย-พม่า ทำให้มีปริมาณน้ำฝนประจำปีต่ำ ซึ่งมีผลต่อชนิดพืชพรรณตามธรรมชาติอยู่ไม่น้อย
จากข้อมูลปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยรายปีในเมืองไทยตลอดช่วง 30 ปี (พ.ศ. 2494-2523) ของกรมอุตุนิยมวิทยา (2525) ทำให้เราพอมองเห็นได้ว่าพื้นที่ที่มีปริมาณฝนต่ำในช่วง 1,000-1,200 มม./ปี และต่ำกว่านั้นคือต่ำกว่า 1000 มม. อยู่ในพื้นที่ด้านตะวันตกและอีสานตอนกลาง โดยพาดเป็นแนวยาวตามเขตปลอดฝนของเทือกตะนาวศรี ตั้งแต่ตอนเหนือของ จ.ตาก ลงไปผ่านบางตอนของกำแพงเพชรลงไปสู่ จ.ราชบุรี กาญจนบุรี และประจวบคีรีขันธ์ (ดูภาพแผนที่ประกอบ) ป่าในเขตนี้เป็นป่าเบญจพรรณบนพื้นที่แห้งแล้ง ลักษณะเป็นป่าไม้หนาม ต้นไม้พุ่มแคระแกรนมักมีหนาม
พื้นที่แห้งแล้งเป็นเวลานาน 5-6 เดือน ของ จ.ประจวบคีรีขันธ์ บริเวณพื้นที่ดินทรายชายทะเล เหมาะสมกับการทำสวนกระบองเพชรและสลัดได และพืชสกุลน้ำนมราชสีห์อยู่ไม่น้อย ดังได้เห็นจากการปลูกป่าศรนารายณ์ (Agave Sisalana) และว่านหางจระเข้ (Aloe) แต่การทำสวนไม้อวบน้ำให้ได้สวยงามดังเช่นในหลายประเทศแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนดังกล่าวไปในตอนที่ 1 กลับเป็นพื้นที่ภูเขาสูงระดับ 1,200-1,400 ม. ทางภาคเหนือของประเทศ ผู้เขียนได้ทดลองนำเอาไม้อวบน้ำและกระบองเพชรหลายสกุลหลายชนิดขึ้นไปปลูก รอบสวนบอนไซ บนพื้นที่เชิงเขาหินปูน ปรากฏว่าได้ผลดี แม้จะกระทบฝนตกหนักในช่วงฤดูฝนก็ตาม
ภูมิอากาศและสภาพดิน
แสงแดดเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการทำสวนไม้อวบน้ำและกระบองเพชร โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนภูเขาสูง เช่น ดอยอ่างขาง จ.เชียงใหม่ ปริมาณแสงแดดต่อวันที่พืชจำพวกไม้อวบน้ำและกระบองเพชรจะได้รับไม่ควรต่ำกว่า 8 ชั่วโมง/วัน ทั้งๆ ที่บางวันมีอากาศมืดครึ้มในช่วงฤดูฝน บางวันพืชอาจได้รับแสงแดดจริงๆ เพียง 3-4 ชั่วโมง ก็มีอยู่บ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้การเลือกทำเลปลูกจึงควรเลือกพืชที่ปลอดร่มไม้ ปราศจากการบดบังแสงจากป่าไม้ เป็นพื้นที่โล่งแจ้ง รับแสงแดดจากแนวตะวันออกสู่ตะวันตกได้ตลอดวัน โดยไม่มีภูเขาสูงมากำบังแนวขึ้นลงของดวงอาทิตย์ ซึ่งจะทำให้จำนวนชั่วโมงที่ได้รับแสงแดดต้องลดลงเป็นอย่างยิ่ง
เรื่องของอุณหภูมิเป็นเรื่องสำคัญที่มีผลต่อการเจริญเติบโต การสะสมอาหารในต้นและใบ นอกจากนี้ยังมีผลต่อคุณภาพของไม้อวบน้ำและกระบองเพชร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสีสันของใบและดอกจะฉูดฉาดเข้มข้น การพัฒนาสีม่วง สีแดง สีส้ม จะปรากฏบนแผ่นใบ ตรงข้ามกับไม้อวบน้ำที่ปลูกในภูมิอากาศร้อน หากอุณหภูมิกลางคืนต่ำกว่ากลางวัน (ต่างจากกันประมาณ 4-5 องศา) จะมีผลต่อคุณภาพความสวยงามของไม้อวบน้ำและกระบองเพชรเป็นอย่างยิ่ง
สภาพพื้นที่ซึ่งเราเลือกทำสวนไม้อวบน้ำควรเป็นที่มีความลาดเอียงเล็กน้อยประมาณ 1-2 เปอร์เซ็นต์ เพื่อทำให้การระบายน้ำฝนออกจากพื้นที่เป็นไปได้อย่างดี หากพื้นที่มีโขดหินใหญ่อยู่แล้วจะเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง เพราะเราอาจปลูกพืชลงไปใกล้กับก้อนหินเหล่านั้น ทำให้ดูใกล้เคียงธรรมชาติ แต่หากเป็นพื้นที่ราบ เราอาจต้องถมดินก่อขอบแปลงให้สูงขึ้น เพื่อช่วยการระบายน้ำ ในการนี้ควรเลือกทรายหยาบและกรวดในการปรับพื้นที่ในแปลงปลูกให้สูงขึ้น ก้นหลุมปลูกอาจใช้ถ่าน (หุงข้าว) และอิฐมอญเก่าเป็นตัวช่วยการระบายน้ำ สำหรับเครื่องปลูกอาจใช้ปุ๋ยหมักหรือใบไม้ผุผสมกรวดและทรายหยาบ เพื่อให้การระบายน้ำเป็นไปได้อย่างรวดเร็วในดินเหนียวหรือดินที่มีการระบายน้ำเลว การปลูกไม้อวบน้ำและกระบองเพชรควรทำในช่วงปลายฤดูฝน ซึ่งดินมีความชื้นเหลืออยู่ไม่มากนัก การปลูกกระบองเพชรสกุลต่างๆ ที่มีหนามไม่ว่าจะสกุลเสมา (Opuntia) ต้องระวังให้ดี เพราะมันมีหนามเป็นปุ่มที่หลุดง่ายเมื่อทิ่มแทงเข้าเนื้อจะปวดมาก และหนามหักคาเนื้อไม้ง่าย หนามนี้เรียกว่ากลอคิด (Glochids) ไม้อวบน้ำจำพวกป่านศรนารายณ์ (Agave) มีใบที่มีหนามอยู่ที่ส่วนปลายใบและขอบใบ การปลูกควรคำนึงถึงระยะปลูกระหว่างชนิดที่เติบโตเร็ว และชนิดที่เติบโตช้ากว่าควรจัดระยะปลูกให้ห่างจากกันจะได้ไม่เบียดเสียด บดบังแสงแดด การใช้ก้อนกรวดหรือเศษหินชิ้นเล็กมาโรยคลุมดินในบริเวณโคนต้นเป็นสิ่งที่ดีเพราะจะช่วยป้องกันวัชพืชให้แปลงปลูกและทำให้ดูใกล้เคียงกับธรรมชาติ ผู้ที่สนใจในสวนไม้อวบน้ำและกระบองเพชร ควรหาโอกาศไปเยือนสวนบอนไซดอยอ่างขางของโครงการหลวง


