posttoday

‘กาหลมหรทึก’ นวนิยายสืบสวนไทย โดย ‘ปราปต์’

13 ตุลาคม 2557

3 ปีมาแล้วที่ไม่มีนักเขียนคนใดได้รับรางวัลประเภทนวนิยายยอดเยี่ยม จากเวทีนายอินทร์อะวอร์ด จนมาถึงครั้งที่ 15 ปี 2557 “กาหลมหรทึก”

โดย...นกขุนทองชนิดาภา / ภาพ : วิศิษฐ์ แถมเงิน

3 ปีมาแล้วที่ไม่มีนักเขียนคนใดได้รับรางวัลประเภทนวนิยายยอดเยี่ยม จากเวทีนายอินทร์อะวอร์ด จนมาถึงครั้งที่ 15 ปี 2557 “กาหลมหรทึก” นวนิยายแนวสืบสวนสอบสวนของ “ปราปต์” นามปากกาของ “ชัยรัตน์ พิพิธพัฒนาปราปต์” เป็นผู้พิชิตรางวัลนวนิยายยอดเยี่ยมได้สำเร็จ

เขาถูกยกย่องชื่นชมจากบรรดาคณะกรรมการว่า เป็นนักเขียนที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ ด้วยลีลาและกลวิธีการเล่าเรื่องที่ซับซ้อน ความลึกลับชวนให้หวาดผวาและการเล่นกับตัวอักษรได้อย่างแหลมคม มีกลวิธีการนำเสนอที่น่าติดตาม โครงเรื่องเดินอยู่บนความโกลาหลอลม่านของคดีฆาตกรรมหลายคดี ผูกโยงกับ “กลโคลง” ได้อย่างแนบเนียน นับเป็นการใช้วรรณศิลป์เล่าเรื่องได้อย่างงามพร้อมทั้งหยิบบทร้อยกรองมาใช้ได้อย่างแยบยล

ปราบต์ เปิดใจหลังจากถูกขนานนามว่า เป็นนักเขียนรางวัลนวนิยายยอดเยี่ยมรางวัลนายอินทร์อะวอร์ด เริ่มต้นชื่อเรื่องที่ชวนขบคิด

“กาหลคือโกลาหล มหรทึกมันเป็นชื่อกลอง กลองมโหระทึกครับ กาหลมหรทึก คือเสียงกลองที่อึกทึกกึกก้องเป็นโลกา แต่ถ้าความนัยของมันก็คือเรื่องวุ่นวายที่อึกทึกโกลาหลและชวนหวาดผวา ก็มีแรงบันดาลใจที่มาจากโคลงโบราณ คือโคลงนิราศเจ้าฟ้าอภัย เพราะผมอยากได้ชื่อเรื่องที่เชื่อมโยงเกี่ยวกับบทร้อยกรอง อารมณ์แนวๆ สายบ่หยุดเสน่ห์หาย (ลิลิตตะเลงพ่าย) ก็เลยไปลองเปิดหาดูว่าสมัยก่อนมีท่อนไหนที่สามารถเอามาตั้งได้บ้าง แต่พอดีเรื่องนี้มันยากหน่อยเพราะมันเป็นฆาตกรรม แต่ก็มาลงตัวที่ชื่อนี้ครับ”

กาหลหรทึกแล้ เสียงสังข์

เรียมบฟังเลยฟัง ข่าวน้อง

ฆ้องคึกบันดาลหวัง เสียงเสน่ห์

เสน่ห์มารุมรึงข้อง ขุ่นข้องอารมณ์ฯ

(ตัดความจาก โครงนิราศเจ้าฟ้าอภัย)

เรื่องนี้ตั้งใจเขียนขึ้นมาเพื่อส่งเข้าประกวดโดยเฉพาะ และมีเวลาจำกัดเพียง 3 เดือน ทว่าปราปต์มีพื้นฐานของการเป็นนักเขียนอยู่ก่อนแล้ว โดยเคยมีผลงานเขียนลงในเว็บไซต์เด็กดี และเคยมีผลงานได้รับการตีพิมพ์แต่เป็นแนววัยรุ่น ตลก สำหรับ กาหลมหรทึก เป็นนวนิยายแนวสืบสวนสอบสวนครั้งแรกของเขา

“ผมไม่เคยเขียนงานแนวนี้ แต่ถ้าให้ลองวิเคราะห์ตัวเอง สิ่งที่เป็นจุดเด่นสำหรับตัวเองน่าจะเป็นเรื่องการลำดับเหตุการณ์ การลำดับเนื้อเรื่องที่ทำให้รู้สึกว่ามันน่าติดตามต่อไป ผมชอบดูหนัง พอดูเราก็จะสังเกต แล้วก็วิเคราะห์ไปด้วยว่า พอมันทิ้งตรงนี้แล้วมันสนุกนะ ทำให้เราอยากรู้ต่อไป อย่างวิธีการลำดับเรื่อง สมมติว่าเราเอาหนึ่งกับสองมาต่อกัน บางทีมันไม่มีอะไร แต่พอเราเอาหนึ่ง สามแล้วค่อยมาสอง มันกลายเป็นน่าสนใจ แล้วก็เอามาประยุกต์กับแนวสืบสวนสอบสวนได้

“ผมมีโอกาสได้ฝึกเขียนบทโทรทัศน์ ภาพยนตร์ ซึ่งทำให้เรามีทักษะในการทำทรีตเมนต์ ให้เห็นได้ว่าเรื่องจะดำเนินไปทางไหน แล้วนำรายละเอียดใส่เข้าไป จึงทำให้เขียนงานได้เร็ว ควบคุมได้ง่าย เพราะเรามีพล็อตเรื่องไว้อยู่แล้ว อย่าง 2 เดือนแรกจะเป็นช่วงหาข้อมูลแล้วเขียนเป็นทรีตเมนต์ก่อนว่าฉากนี้จะเขียนยังไง ยังไม่ได้ลงรายละเอียดเขียนจริง เดือนสุดท้ายก็มาเริ่มเขียนจริงๆ ปั่นเนื้อเรื่องอย่างเดียวเลย ตัวเนื้อเรื่องมันจะไม่ค่อยยากเพราะเราลำดับไว้แล้ว มันจะยากเฉพาะตัวกลโคลง คือในช่วงแรกเขียนแผนผังผิด แล้วพอมาถึงช่วงที่มันจะเฉลยจริงมันไม่ใช่ ก็เลยต้องแก้ ส่วนใหญ่จะแก้ตัวกลโคลงมากที่สุด”

จุดที่น่าสนใจในนวนิยายเรื่องนี้คือการนำ “กลโคลง” มาเป็นรหัส ที่ฆาตกรทิ้งไว้ให้ผู้พิทักษ์สันติราชต้องขบคิดไขปริศนาที่ทิ้งไว้บนตัวอักษร 5 คำ

“แรงบันดาลใจจริงๆ ของการแต่งเรื่องนี้มาจากตัวกลโคลง เราก็เลยคิดว่าน่าจะเอามาต่อยอดได้เป็นรหัสคล้ายๆ แดน บราวน์ อะไรอย่างนั้นครับ ผมรู้สึกว่าเราใช้คำเป็นคล้ายๆ รหัส น่าจะเอาคำมาเล่นอะไรได้ ก็เลยรู้สึกว่าลองไปหาอะไรที่มันเกี่ยวกับคำ มันสามารถพลิกอะไรได้บ้าง ก็เลยนำไปต่อยอดเป็นตัวหนังสือจอมพล หนังสือจอมพลมันจะมีคำอะไรที่ประหลาดๆ ก็เลยเอาอันนั้นมาแล้วก็เอามาสร้างว่าเราจะเขียนโครงยังไง ให้มันเข้ากับตัวกลโคลงที่เราตั้งขึ้นมา มาแตกเป็นคดีต่างๆ ในการหาข้อมูลกลโคลงไม่ยาก เพราะว่ามันมีแบบแผนบังคับ ส่วนใหญ่ผมจะยึดจากโคลงสี่สุภาพก่อนว่า โคลงสี่สุภาพมันมีอะไรที่เกี่ยวข้องบ้าง เช่น คำเอก คำโท คำตาย มีโคลงสี่สุภาพแบบไหนบ้าง มันก็จะมีโคลงกระทู้ โคลงกลบท”

ปราปต์เลือกนำเสนอห้วงเวลาในอดีต เพราะด้วยการนำกลโคลงมาเป็นปริศนาเอก การผูกเรื่องกับเหตุการณ์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงลงตัวที่สุด

“เป็นเพราะว่า คำ เราก็เอ๊ะ! มันจะเชื่อมยังไงกันดี คิดไปคิดมาก็เลยเอาเป็นพีเรียดก็แล้วกัน ก็เลยมายากในจุดนี้ เพราะต้องคอยเทียบว่ายาตัวนี้ใช้ตอนปีนี้ ปีนั้น สถานที่ตรงนี้เป็นยังไง มันจะมีพวกสถานีตำรวจที่มันเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้อยู่ที่เดิมตรงนี้แล้ว มีการศึกษาข้อมูลทั้งประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ สถานที่ และเวลาในอดีต ภาษาตอนนั้นพูดคุยกันยังไง ผมใช้วิธียึดจากปี พ.ศ.ก่อน ตอนนั้นมันมีสงครามโลก ยึดตามไทม์ไลน์ไปเลยครับว่ามันจะมีเหตุการณ์อะไรบ้าง อย่างช่วงก่อนหน้านั้นมันจะมีน้ำท่วม แล้วมันเกิดอะไรต่อมาบ้าง ตอนนั้นมีทางการมาคอยไล่คนว่าอย่าอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ ให้ไปหาที่อื่นอยู่ เพราะสัมพันธมิตรจะมาทิ้งระเบิด ก็จะยึดตามไทม์ไลน์แล้วก็เอามาโยงเกี่ยวกับตัวเนื้อเรื่อง”

แม้จะชอบอ่านและดูเรื่องเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนมามาก จนสามารถจินตนาการผูกเรื่องราว วางปมปัญหาไว้ได้หลายจุด ทว่าปราปต์ก็ยอมรับว่ามาตกม้าตายเพราะลีลาท่าทางขั้นตอนการสืบสวนคดีของตำรวจ เพราะไม่เคยที่จะเฉียดไปสัมผัสชีวิตของคนในแวดวงสีกากี

“เรื่องคดียังไม่ค่อยเท่าไหร่ ติดเลยจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตำรวจ ยากที่สุดสำหรับผมเลย การเขียนเกี่ยวกับตำรวจ มันเหมือนเป็นชีวิตอีกแบบหนึ่งที่เราไม่เกี่ยวข้อง ไม่รู้วิธีการสืบสวนเลย เป็นคนไม่ชอบดูข่าวด้วย ยิ่งถ้าเป็นข่าวอาชญากรรมยิ่งไม่ชอบดู พอต้องมาเขียนเองแล้วเกี่ยวกับตำรวจก็เลยยาก ช่วงแรกๆ จะรู้สึกว่าภาษามันจะค่อนข้างเกร็ง คือเราจะให้ไปสเต็ปไหน ตำรวจสืบยังไงก็ไม่รู้ เราก็ต้องไปคอยอ่านพวกหนังสือคินดะอิจิ อ่านหนังสือพวกที่มีตำรวจเป็นตัวดำเนินเรื่อง แล้วก็ไปอ่านคู่มือของตำรวจ อย่างเช่นว่าเขาไปเจอคดีฆาตกรรมเขาจะต้องทำยังไง ข้อหนึ่งข้อสอง เราก็ไล่ไปตามนั้น พอเขียนไปสักพักหนึ่งเหมือนเราเริ่มจับทางได้ ว่าจริงๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นขนาดนั้นก็ได้ มันก็จะเน้นไปทางทำยังไงให้หลอกคนอ่านได้ ให้มันตรงไปกับเนื้อเรื่องของเรามากขึ้น”

ปราปต์ชอบอ่านชอบเขียนมาตั้งแต่เด็ก แต่เขาเรียนจบด้านการบริหาร และปัจจุบันทำงานฝ่ายเอชอาร์ เทรนนิ่ง ของบริษัทญี่ปุ่น ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับงานเขียนเลย ทว่าเขาจะหาเวลามาเขียนนวนิยายอย่างสม่ำเสมอ แม้จะมีผลงานถูกคัดเลือกให้ตีพิมพ์ แต่ก็มีหลายผลงานมากกว่าที่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน จนเจ้าตัวมีท้อเกือบถอดใจไปเสียแล้ว แต่กาหลมหรทึก ก็ทำให้ใจเขาเต้นกึกก้องขึ้นอีกครั้ง พร้อมลั่นกลองประกาศชัยชนะแรก และพร้อมที่จะสู้ต่อไปบนสังเวียนน้ำหมึกอีกครั้ง

“สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดในเรื่องนี้ คือตัวพล็อต แบบว่ามันค่อนข้างรัดกุม มีมิติของการใช้เวลา การใช้สถานที่ การใช้คำ การใช้รูปแบบการตายของแต่ละศพ คือมันจะสะท้อนกันหมด มันโยงกันหมด เรารู้สึกว่าชาตินี้เราจะเขียนได้แบบนี้อีกไหม แต่ถ้าเรื่องของภาษาก็ยังไม่ขนาดนั้น จริงๆ แล้ว 3 เดือนมันน้อยมาก สิ่งที่ภูมิใจมากที่สุดคือเราสามารถเขียนอะไรที่เราไม่คิดว่าเราจะเขียนได้ เขียนได้ในเวลาที่มันจำกัดมากๆ จนจบได้ ตัวรายละเอียดเราไม่ค่อยไปคิดว่ามันดีตรงไหน หรือไม่ดีตรงไหน แค่มันจบเราก็ภูมิใจมากแล้ว มันเหมือนเป็นงานอดิเรก อย่างบางคนเขาเขียนเพื่อที่จะได้เงิน อย่างผมเอง พูดจริงๆ มันก็มีบางช่วงที่รู้สึกน้อยใจเหมือนกัน เราชอบเขียน วันหนึ่งผมไม่ทำอะไรนอกจากเขียนหนังสือ คนอื่นเขาได้เที่ยวไปนู้นนี้นั้น แต่เราไม่ได้ออกไปข้างนอกเลย คือเรานั่งเขียนเกาะติดอยู่กับโต๊ะทั้งวัน บางทีพอน้อยใจมากๆ เรารู้สึกว่าเราทำไรว่ะเนี่ย แทนที่จะไปเที่ยว อย่างเพื่อนบางคนไปทำงานอดิเรกไปทำงานอะไรที่มันได้เงิน ไปขายของ แต่เราทำไรเนี่ย คือมันดูไร้ค่ามากจริงๆ อย่างเรื่องนี้มันอาจจะเป็นเรื่องสุดท้ายแล้วนะ ถ้ามันยังไม่ได้อะไรอีกเลย แต่ปรากฏว่าพอเขียนจบปุ๊บยังไม่ทันได้รางวัลยังไม่ทันเข้ารอบ มันเหมือน เฮ้ย! เราทำแบบนี้ได้อ่ะ มันเป็นชัยชนะยิ่งใหญ่มากหลังจากเขียนจบ ก็เลยเขียนเรื่องต่อไปเลย”

ผลงานที่ปราปต์กำลังฟูมฟักอยู่ยังเป็นแนวสืบสวนสอบสวน และยังนำเสนอวิถีวัฒนธรรมแบบไทยๆ เขาไม่ได้คาดหวังว่า ผลงานจะต้องสร้างชื่อ คว้ารางวัล เพราะถึงวันนี้เขาได้เรียนรู้แล้วว่า สิ่งที่เขาเพียรทำ สิ่งที่เขาหมั่นเขียนนั้น สุดท้ายมันไม่ใช่สิ่งไร้ค่า แม้บางครั้งจะไม่มีคนอื่นเห็น คนอื่นอ่าน แต่การที่เขาได้เขียนเรื่องๆ หนึ่งให้จบ และในเนื้องานมีคุณค่าต่อผู้ที่ (จะ) ได้อ่าน นั้นคือความสำเร็จ คือรางวัลแล้ว

ข่าวล่าสุด

“รูบิโอ” ตอบสื่อสหรัฐ หวังไทย-กัมพูชา หยุดยิงภายในวันอังคาร