พ่อหงา กันตรึม ดูเหมือนไม่รัก...แต่เรารักกัน
ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปมีเทคโนโลยีนำทางในการใช้ชีวิต สังคมที่ต้องแก่งแย่งแข่งขัน ฉกฉวยถวิลหาแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองและคนอันเป็นที่รัก (ลูกบังเกิดเกล้า)
โดย...เลอลักษณ์ จันทร์เทพ
ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปมีเทคโนโลยีนำทางในการใช้ชีวิต สังคมที่ต้องแก่งแย่งแข่งขัน ฉกฉวยถวิลหาแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองและคนอันเป็นที่รัก (ลูกบังเกิดเกล้า) ทว่าความคิดเหล่านี้คงยากที่จะแทรกซึม หรือจะเข้าไปมีบทบาทกับครอบครัว “จันทิมาธร” สุรชัย จันทิมาธร หรือ น้าหงา คาราวาน อาจารย์ใหญ่แห่งวงการเพลงเพื่อชีวิต ที่มีอีกบทบาทหนึ่งของความเป็น “พ่อ” ของ “พิฆเณศร์ จันทิมาธร” (กันตรึม) ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่เจริญรอยตามมาในเส้นทางดนตรีได้เป็นอย่างดี
‘เราอาจเป็นพ่อที่ไม่สมบูรณ์’
น้าหงา
“เลี้ยงลูก (กันตรึม) ถือว่าเป็นเรื่องยากเหมือนกัน เราเลี้ยงแบบไม่มีสูตรอะไรเลี้ยงไปตามธรรมชาติ ซึ่งวิธีนี้รู้สึกว่าทำให้เขาก็ไม่ค่อยมีระเบียบในชีวิตเท่าไหร่ เราอาจจะเป็นพ่อที่ไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ดูแลเขาได้ไม่เท่าที่ควรจะเป็น แต่ก็ย้อนกลับมาดูตัวเองการเลี้ยงดูคงจะไม่ห่างกันมาก เพราะเราโตมาในครอบครัวชนบทเป็นอีกแบบคือ ใช้ไม้เรียวตี แต่พอมายุคที่เมื่อเราเป็นพ่อเราไม่ตีลูก แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่ได้จะเลี้ยงด้วยเหตุผลเท่าไรด้วย ไม่ค่อยอยากไปตำหนิลูกยกเว้นแต่ว่าเขาจะเกเรไปเสียมาก พวกยาเสพติดอะไรพวกนั้นซึ่งเรายังไม่เจอรูปแบบนั้น
ส่วนมุมประทับใจความเป็นพ่อกับลูกระหว่างเรา ไม่มีอะไรที่จะประทับใจกันมากมายหรืออะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่ว่าทึ่งที่เขาเรียนรู้ได้เร็วในการเล่นกีตาร์ เขาไวมีทักษะดีกว่าเรา เราไม่ใช่คนที่ศึกษาหรือขยันฝึกซ้อม เราจับกีตาร์เพราะต้องแต่งบทเพลงเป็นนักเขียนนักคิด แต่ไม่มีทฤษฎี เพราะฉะนั้นเราจึงไม่สอนทฤษฎีดนตรีให้กับลูก แล้วก็ไม่คิดที่จะส่งไปเรียนดนตรี เขาอยากจะเล่นอะไร กีตาร์ กลอง ก็ตามสบาย ที่บ้านก็มีเขาเล่นตั้งแต่ 8 ขวบ แล้วเขาก็ซึมซับสามารถเล่นได้ แบบครูพักลักจำ ถ้าไปเรียนกลัวเสียของ ไม่รู้นะนี่เป็นความรู้สึกส่วนตัว เราเป็นแบบไหนก็อยากให้เขาเป็นเหมือนเรา เหมือนกับการแต่งตัวนั่นแหละอยากให้แต่งตัวเหมือนกับที่เราแต่ง
ส่วนวิธีถ่ายทอดเรื่องราวระหว่างพ่อลูกนั้นไม่ได้มีอะไรเลยเหมือนคนอื่นเขา นอกจากถ้าเขาถามเราก็จะเล่าเรื่องราวให้ฟัง แต่ถ้าเขาไม่ถามก็ไม่ตอบ เพราะเรื่องบางเรื่องเขาอาจจะรู้จากการซึมซับ การใช้ชีวิตประจำวันมากกว่า และเชื่อว่าความคิดต่อสังคม ต่อการเมืองไม่ไกลกันเท่าไร เพราะว่าสิ่งแวดล้อมที่สัมผัสมาเป็นแบบนี้ ตอนนี้กันตรึมเองสามารถช่วยงานได้ในระดับหนึ่งทั้งรับงาน ตัดสินใจงานให้ เพราะเวลานี้เรารู้สึกว่ามันเหนื่อยไม่อยากยุ่ง กันตรึมสามารถช่วยงานเราได้
แต่เรื่องความเป็นห่วงลูกตอนนี้ก็มีอยู่บ้างเพราะเขาอาจจะมีปัญหาเรื่องชีวิตบ้าง เขาก็ยังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เลยมีความเป็นห่วงบางอย่างที่ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเช่นเรื่องเที่ยวกับเพื่อนที่เราไม่สามารถที่จะไปกับเขาได้ เรื่องผู้หญิงที่เราไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ขัดอะไรจะคอยดูและพยายามเข้าใจเขาว่าทำไมเป็นแบบนี้ก็เข้าใจด้วยวัย ต้องนึกย้อนถึงตัวเราเองว่าเมื่อก่อนหนักกว่าเขาอีก ปล่อยให้เขาได้ลองแต่เราก็คอยดูอยู่ห่างๆ
จากนี้ความคาดหวังคืออยากให้เขาเรียนให้จบ ปัญหาการเรียนหนักใจมากรู้สึกเป็นภาระ เขาไม่ค่อยอินไม่เห็นความสำคัญเท่าไหร่ เราเองก็ไม่รู้ว่าการเรียนในสถาบันการศึกษาสมัยนี้มันจำเป็นรึเปล่ากับเด็กสมัยนี้เรานึกไม่ออก ยุคเรากับเขามันห่างกันแล้ว บางทีไม่เรียนก็ได้เราก็พาลไปคิดแบบนั้นซึ่งอาจจะผิด แต่ใจอยากจะบอกว่าต้องเรียน อยากให้เรียน เพราะการเรียนคือการวัดดัชนีอย่างหนึ่งในสังคม ก็ไม่หนักหนามากก็เรียนให้จบ ส่วนใบปริญญาจะใช้ไม่ใช้อีกเรื่องหนึ่ง เราในฐานะคนเป็นพ่อ ก็อดห่วงไม่ได้ว่าจะไปรอดหรือเปล่า เพราะเขายังหนุ่ม เพิ่งจะ19 ปี แต่เราแสดงออกมามากไม่ได้ แต่มีอยู่เรื่องคือการเล่นดนตรี เรื่องนี้ไม่ห่วงเขาสามารถหากินได้ เลี้ยงตัวเองได้ เขากับเราอยู่ด้วยกันมาตลอด ซึ่งตอนนี้เขายังอยู่กับเรา รู้ได้ว่ายังคงเป็นห่วงเรา พ่อห่วงลูกและเชื่อว่าลูกคงห่วงพ่อทั้งเรื่องการงาน เรื่องยุ่งยากของพ่อก็เยอะ ยุ่งยากปวดหัว ทั้งนั้นสิ่งต่างๆ เหล่านี้เขายังสามารถช่วยเราดูแลได้”
‘ผมห่วงสุขภาพพ่อ’
กันตรึม
“พ่อเป็นคนง่ายๆ ครับ วิถีชีวิตไม่ค่อยมีอะไรยาก คือโดยรวมจะใช้สังคมอยู่กับกลุ่มเล็กๆในวงดนตรี พ่อจะใช้หลักการง่ายอยู่กับคนอื่น ซึ่งการใช้ความง่ายอยู่กับคนอื่นนี่คือสิ่งที่ผมได้จากพ่อมาเยอะ แต่ถ้าเป็นเรื่องเพลง การเขียน ผมยังไม่ค่อยซึมซับ เพราะเป็นคนอ่านไม่เยอะ ยังเขียนถ้อยคำสละสลวยไม่ได้
สำหรับการสื่อสารกันระหว่างพ่อลูกคือห้วนๆ แต่เข้าใจ ไม่มีการถามว่าวันนี้คุณพ่อจะไปไหน ทำอะไร กินอะไร ไม่มีเจ๊าะแจ๊ะ ทุกอย่างจะมองหน้าแล้วชี้ไปทำโน่นทำนี่ คือรู้เรื่องไม่ต้องพูดอะไรมาก คุยกันง่ายๆ นิดเดียว เวลาคุยกันสื่อสารกันหลายคนอาจมองว่าไม่รักกัน แต่เรารักกัน
ผมห่วงพ่อมากโดยเฉพาะเรื่องทำงาน เพราะแก่ตัวแล้วยังทัวร์คอนเสิร์ตเป็นสิบวันสิบคืน ทุกเดือน ทำงานเดินทางอยู่ตลอด ไม่มีเวลาพักผ่อนนอนน้อย แล้วพ่อก็ชอบที่จะขับรถเองตลอด เคยมีงานที่ชุมพรเลิกเที่ยงคืน แล้วก็ต้องไปเชียงใหม่ต่อเลย ซึ่งคุณพ่อเป็นคนติดถนนชอบมองทาง ไม่ชอบหลับ ชอบขับรถ แต่ตอนนี้ดีขึ้นที่ว่าผมได้เข้ามามีส่วนช่วยคุณพ่อบ้างเรื่องของงานแสดงต่างๆ จัดสรรการรับงานก็ยอมรับว่าเหนื่อยบ้าง แต่เต็มใจและอยากทำ ช่วยแบ่งเบาภาระบ้าง
ส่วนเรื่องของความภูมิใจระหว่างผมกับพ่อ เมื่อเราได้ร่วมเดินทางไปกับเขา ได้มีส่วนร่วมในงานเห็นประชาชน แฟนเพลงมองพ่อขึ้นมาบนเวที มาขอถ่ายรูป มาคุยกับพ่ออย่างชื่นชม ผมรู้สึกดีมากๆ แต่จะให้โฟกัสว่าเป็นเรื่องประทับใจคงไม่มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษ เพราะความประทับใจ เข้าใจว่ามีอยู่ตลอดเวลา
ผมรู้ว่าพ่อเป็นห่วงผมเพราะช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ตอนนี้แม้เรายังทำงานหาเงินได้เองบ้างไม่ได้ขอเงินพ่อ แต่พ่อก็กังวลอยู่มาก พ่อจะเป็นห่วงเรื่องขับรถ การที่เราออกไปเจอสังคมที่ไม่รู้จะเจอเพื่อนแบบไหนบ้าง ซึ่งเราต้องเซฟชีวิตเราด้วยเหมือนกัน เพราะพ่อเลี้ยงเรามาแบบปล่อยๆ ง่ายๆ จะเที่ยวจะอะไรก็ไม่ว่า ซึ่งถ้าเราพลาดเราต้องแก้ไขเอง แต่พ่อจะดูอยู่ห่างๆ คอยเป็นห่วง ซึ่งเรารู้ว่าบางครั้งเราไม่ควรทำตัวแบบนี้ ถ้าเป็นครอบครัวคนอื่นลูกเที่ยวนะคงโดนว่ามากมายจนเสียสติก็มี แต่การเลี้ยงแบบพ่อดี เราไม่ต้องคำนึงถึงกฎอะไรมาก ไม่บังคับอิสระตามใจ เรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายเราต้องคิดด้วยตัวเองให้ได้
สุดท้ายอยากบอกพ่อว่าผมเป็นห่วงสุขภาพ การเดินทางบางทีถ้าผมเรียนจะไม่ได้อยู่ด้วย คนที่จะดูแลจริงๆ ไม่ค่อยมีเท่าไร เพราะทุกคนกลัว ไม่ค่อยเข้าหาเท่าไร พ่อใครที่จะไปดูแลอาจจะยากนิดนึง”


