แดนอรัญ แสงทอง ปราชญ์ผู้ละเมียดถ้อยอักษร
โดย...พงศ์ พริบไหว
โดย...พงศ์ พริบไหว
ครั้งบุราณกาลเอกบุรุษอย่างมหากวีสุนทรภู่เคยถูกตั้งคำถามถึงตัวตนของเขา เวลานั้นท่านได้ร่ายบทกวีหนึ่งบทแทนคำนิยามความสำเร็จของตัวเองไว้ว่า “เป็นอาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว เขมรลาวลือเลื่องถึงเมืองนคร”
เวลาผ่านไปเนิ่นนานคำนิยามนั้นกลับย้อนมาถึงวันนี้ ว่ามีบุรุษคนไหนบ้างที่มีความฉกาจในด้านงานเขียนจนเลื่องลือไกลหลายแคว้น ซึ่งหากนับกันที่เนื้องานล้วนๆ จะเป็นใครอื่นมิได้นอกจากเจ้าของนามปากกา แดนอรัญ แสงทอง หรือ เสน่ห์ สังข์สุข อีกนัยชื่อหนึ่งที่นักอ่านชาวยุโรปต่างรู้จักดี เจ้าของงานเขียนพันธุ์ไทยที่ถูกนำไปแปลเป็นภาษาต่างประเทศมากมาย อาทิ อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน ฯลฯ
“พูดกันตามข้อเท็จจริง ตั้งแต่ประเทศไทยมีคนอุตริเขียนหนังสือมาไม่มีใครหรอกที่จะมีงานได้รับการแปลเป็นภาษาอิตาเลียนแบบผม มีผมคนเดียวนี้แหละที่กำลังคุยบ้าๆ กับคุณ ผมพูดเรื่องจริงคุณไปเช็กข้อมูลดูชิ” ถ้อยคำของแดนอรัญเป็นเช่นนี้ ตัวตนชัดเจน พูดจาตรงไปตรงมาซื่อๆ ทำให้นึกตามแล้วอดชื่นชมนักเขียนเช่นแกไม่ได้ ที่ปวารณาตัวเป็นนักเขียนแท้จริง จริงในที่นี้คือทุกลมหายใจ ทุกการเคลื่อนไหวคือ “นักเขียน” ใช้ชีวิตตื่นมาอ่านวรรณกรรมและนอนหลับหลังเขียนต้นฉบับอย่างเงียบๆ จนจบ และด้วยความประณีตต่ออาชีพการงาน ทำให้เขามีผลงานชั้นเอกหลายต่อหลายเล่มในเวลาต่อมา
“อสรพิษ และเรื่องราวอื่นๆ” จัดเป็นหนึ่งในจำนวนงานเขียนที่นับว่าทรงคุณค่า กล่าวคือ เป็นเรื่องสั้นชั้นครู ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่ในปีนี้ผลงานดังกล่าวจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สามัญชน ถูกคัดเลือกให้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรต์ โดยในเล่มได้นำเอาเรื่องสั้นขึ้นหิ้งอีกหลายชิ้นมาเพิ่มเติมอย่าง เสาไห้ แมวผี ดวงตาที่สาม ฝันค้าง ทุ่งร้าง รำพันพิลาป เหนือหลุมฝังศพ เมถุนสังโยค ฯลฯ โดยเจ้าของผลงานได้พูดถึงหนังสือเล่มนี้ไว้ชัดเจนว่า
“เรื่องส่งเข้าประกวดผมคิดว่าบรรณาธิการเองคงเห็นดีเห็นงามว่าสามารถทำได้ สำหรับผมเรื่องรางวัลอะไรผมคงไม่ได้ดิ้นรน คือต้องพูดกันแบบซื่อๆ ตรงๆ แบบไม่ได้ปัดความรับผิดชอบ ที่ผมไม่ได้สนใจในเรื่องนั้นเพราะผมอยู่บ้านนอก ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลย นอกจากเขียนหนังสือเพียงอย่างเดียว ผมเป็นนักเขียนอาชีพแหละนะ ผมจึงรู้สึกว่าผมมีหน้าที่เขียนและเขียนให้ดีเท่าที่จะทำได้ สุดชีวิต สุดความสามารถ ส่วนเรื่องอื่นไม่ได้อยู่ในหัวผม”
คำพูดของแดนอรัญชัดเจนเสียจนไม่ใคร่ที่จะถามต่อถึงเรื่องความคาดหวังในรางวัล กระนั้นเพียงอยากรู้สุดใจถึงแนวคิดและรูปแบบที่ใส่ลงไปในหลากเรื่องสั้นดังกล่าว ซึ่งเจ้าของผลงานยินดีเล่าผ่านถ้อยคำโอบอ้อมไว้เช่นนี้
“คือผมไม่ค่อยได้ปักใจกับการเขียนเรื่องสั้นหรือนวนิยายมากหรอกนะ คือหมายความว่าอะไรที่ผ่านเข้ามาในหัวแล้วผมมีความพร้อมสามารถทำให้เป็นเรื่องราวเชิงลึกได้ จะเป็นเรื่องยาวหรือสั้นผมก็จะเขียนไปตามนั้น อย่างเรื่อง ‘อสรพิษ’ ผมลงมือเขียนตอนอายุได้ 40 ปีละมั้ง คือเป็นเรื่องเล่าที่อยู่ในหัวผมมาตั้งแต่เด็กตั้งแต่ผมเริ่มจำความได้เลย ฉะนั้นเรื่องนี้มันใช้เวลาก่อตัวในสมองผมนานมากแล้วถึงได้เขียนออกมา เรื่อง ‘เสาไห้’ เหมือนกัน ผมได้ยินเรื่องราวเหล่านี้จากวิทยุเรื่องตำนานเก่าแก่มันก็สะดุดใจผมมาตั้งแต่ผมอายุ 78 ขวบโน่นแน่ะ แล้ววันหนึ่งเมื่ออายุจะกึ่งศตวรรษผมจึงได้เขียนเรื่องนี้ออกมา คือก็อย่างที่บอกแหละผมก็ทำงานแบบนี้ อะไรที่ทำให้ดีได้ผมก็จะทำเต็มที่ ทำให้ดีที่สุด”
ทั้งหมดที่กล่าวมักสะท้อนออกมาชัดเจนในงานของนักเขียนผู้นี้ หากจะเขียนถึงอะไรแดนอรัญจะใส่ใจรายละเอียดให้ออกมาดูสมจริง ไม่ว่าผู้คน วิถีชีวิต บรรยากาศและสภาพทางภูมิศาสตร์ ผ่านภาษาที่งดงามละเมียด ประณีตบรรจงกับถ้อยทีลีลา ซึ่งเป็นเสมือนพลังบางอย่างในตัวอักษรของแดนอรัญที่สามารถตรึงอารมณ์และตรึงใจผู้อ่าน
“ผมเชื่อมั่นว่าสไตล์ในการเขียนคือบุคลิกของนักเขียนเอง ซึ่งผมมักจะประณีตกับภาษาเป็นหลัก ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีนักเขียนที่ทำแบบนี้มาก่อน คือ อุษณา เพลิงธรรม (ผู้เขียนเรื่องของจัน ดารา) ซึ่งเป็นนักเขียนในดวงใจของผม แล้วผมก็พยายามเลียนแบบการเขียนของอุษณา เพลิงธรรม เท่าที่จะทำได้ ภาษาของผมจึงเป็นภาษาที่ได้รับอิทธิพลมาจาก อุษณา เพลิงธรรม โดยเฉพาะวิธีการเขียนร้อยกรองของเขาที่สละสลวยมาก”
พูดถึงวิธีการเขียนไปแล้ว นักเขียนใหญ่ก็กล่าวถึงตัวเรื่องในหนังสือ “อสรพิษ และเรื่องราวอื่นๆ” ให้พอเข้าใจ
“โดยอารมณ์ของตัวเรื่องบุคลิกของตัวเรื่อง ก็จะมีทั้งเรื่องที่มันแข็งกระด้าง เรื่องที่ดุดันเหี้ยมเกรียมอย่าง ‘อสรพิษ’ หรืออย่าง ‘เสาไห้’ แล้วก็มีเรื่องที่มีอารมณ์ขันยิ่งอย่างเรื่อง ‘ดวงตาที่สาม’ ‘ฝันค้าง’ กับเรื่อง ‘แมวผี’ ก็จะเป็นอารมณ์ขันลึกๆ คือผมก็พยายามเขียนตามหลักการสากลนะ ว่าถ้าหากคุณอยากเขียนเรื่องสั้นที่ดี คุณต้องเขียนเรื่องสั้นที่เหี้ยมเกรียมคะมึนทึมเสียบ้าง แล้วก็เขียนเรื่องสั้นที่มันแจ่มใสร่าเริงเสียบ้าง คือในเล่มนี้ไม่ได้มีแต่งานที่เหี้ยมเกรียมนะ ผมก็เขียนไปเพื่อมุ่งหวังให้เรื่องบางเรื่องอ่านสบาย คือจริงๆ ผมเป็นคนมีอารมณ์ขันแหละ (หัวเราะ)
“คือด้วยตัวหนังสือผมมันเลือกนักอ่านในตัวของมันเอง นักอ่านที่อ่านอย่างสะเปะสะปะอ่านอย่างชืดชา อ่านอย่างชุ่ยๆ เขาก็จะรู้สึกว่าเรื่องของผมไม่เข้าท่าเลย ตัวหนังสือผมมันเลือกนักอ่านอยู่แล้วในตัวของมันเองตั้งแต่ประโยคแรกของตัวเรื่องเลย แล้วลักษณะพิเศษอีกอย่างในเรื่องสั้นเล่มนี้จะมีความเป็นศาสนาเข้ามาด้วย อย่างในเรื่อง ‘เมถุนสังโยค’ ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนาโดยแท้เลยตามเรื่องศาสนธรรม คือเวลาผมสนใจอะไรก็จะศึกษาอย่างจริงจัง อย่างตอนนี้สนใจเรื่องศาสนา ผมก็จะใส่ใจมากในการเขียน คือผมเป็นคนที่แปลก จะเป็นคนประณีตบรรจงกับการเขียนและการอ่าน แต่เรื่องอื่นๆ ผมจะไม่ประณีตบรรจงเท่าไร ผมว่าผมไม่ถือว่ามันสำคัญกับผม” หลังคำพูดจบเสียงหัวเราะรวนของแดนอรัญก็ดังขึ้น
หลายต่อหลายเรื่องถูกเล่าอย่างมีชีวิตชีวา เพียงแต่หน้ากระดาษยาวไม่พอกล่าวถึงแง่งามของการเขียนหนังสือของเอกบุรุษเช่น แดนอรัญ แสงทอง เอาเป็นว่าเหลือพื้นที่ให้งานชั้นครูของเขาได้เล่าเรื่องราวของมันบ้าง
แดนอรัญ แสงทอง นักเขียนชาวเพชรบุรี มีผลงานนวนิยายเรื่องแรกคือ “เงาสีขาว” ได้รับการคัดเลือกจากหนังสือ The 20 Best Novels of Thailand ของ Marcel Barang ให้เป็น 1 ใน 20 นวนิยายที่ดีที่สุดของไทย และยังได้รับการแปลเป็นภาษาฝรั่งเศส สเปน และอังกฤษ อีกทั้งเรื่องสั้น “อสรพิษ” และ “เจ้าการะเกด” ต่างก็ได้รับการถ่ายทอดเป็นภาษาอื่นๆ เช่นกัน ต่อมารัฐบาลฝรั่งเศสได้มอบเครื่องอิสริยาภรณ์ในลำดับชั้น Chevalier du Arts et Lettre ให้แก่เขาในปี 2551


