อดีตมีความหมาย ณ เวียงกุมกาม
แดดกำลังดี ไม่ร้อนจัด ชาวคณะที่มาจากกรุงเทพฯ กำลังมุ่งหน้าไปสู่ “เวียงกุมกาม” รถรางจอดรอรับ
โดย...โจนาส แอนด์ ซิสเตอร์ / ภาพ มิกกี้เม้าท์
แดดกำลังดี ไม่ร้อนจัด ชาวคณะที่มาจากกรุงเทพฯ กำลังมุ่งหน้าไปสู่ “เวียงกุมกาม” รถรางจอดรอรับ ทักทายด้วยรอยยิ้มจากสารถี เป็นมิตรไมตรีที่คนเชียงใหม่มอบให้กับผู้มาเยือน
เมืองโบราณอายุเก่าแก่ยาวนานเกินกว่าจะมานั่งนับนิ้วแน่ๆ เพราะปีนี้ก็ร่วม 728 ปี ตามหลักฐานคาดว่าน่าจะสร้างเมื่อ พ.ศ. 1829 โดยพญามังราย ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนา ทรงมีพระราชดำริที่จะสร้างขึ้นเพื่อเป็นเมืองหลวงในสมัยนั้น
แต่เพราะมีน้ำท่วมทุกปี เวียงกุมกามจึงสร้างไม่สำเร็จ พระองค์จึงตัดสินพระทัยย้ายไปสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ที่นครพิงค์ พ.ศ. 1839 ซึ่งก็หมายถึงเชียงใหม่ในปัจจุบัน เวียงกุมกามจึงมีฐานะเป็นเพียงเมืองหน้าด่าน ป้องกันข้าศึกศัตรูที่จะเข้ามาตีเมืองเชียงใหม่ ตอกย้ำด้วยหลักฐานรัชสมัยพญาติโลกราชบันทึกไว้ “เวียงกุมกาม เป็นพันนาหนึ่ง ให้หมื่นกุมกามปกครองเป็นนายด่าน...”
อดีตของเวียงกุมกามเชื่อมโยงไปถึงเชียงใหม่ เรื่องราวเหล่านี้ช่างมีความหมายต่อคนรุ่นหลัง แม้ไม่ใช่คนพื้นเพเชียงใหม่ แต่รู้ไว้ก็ไม่เสียหลาย
คำว่า เวียง นั้นก็คือเมือง ความหมายเหมือนกัน ส่วน กุมกาม เมื่อสืบต้นสายปลายเหตุก็เป็นทั้งได้ คุมคาม ซึ่งหมายถึง การดูแลชนบท บ้างก็ว่า คุ้มข้าม คือ เมืองที่มีท่าข้าม เมืองที่น่าเกรงขามก็ใช่ กระทั่งมีอีกหนึ่งความหมาย การระงับกิเลส
ความหมายจะเป็นอย่างไร นั่นอาจไม่สำคัญเท่าการตระหนักรู้ว่าที่นี่มีอดีตและความสำคัญต่อผู้คน ต่อชุมชน ต่อชาติในบริบทใด โดยเฉพาะคนพื้นถิ่นเองควรยิ่งนักที่ต้องรู้ซึ้งอย่างถ่องแท้
ตำนานเมืองเขียงใหม่ กล่าวถึงเวียงกุมกามในยุคนั้น ทำนองว่าการค้าขายคึกคัก พ่อค้าจากที่ต่างๆ ล้วนเข้ามาค้าขายที่กาด (ตลาด) ที่เวียงกุมกามเป็นจำนวนมาก เรือสินค้าจอแจ ผู้คนเนืองแน่น เรือชนกันล่มเป็นภาพชินตา เกิดขึ้นทุกวัน
นึกภาพตามก็เหมือนกำลังนั่งชมภาพยนตร์ย้อนยุค การค้าขายทางน้ำมีบทบาทมาก ที่นี่คือศูนย์กลางย่อมๆ ที่ผู้ซื้อผู้ขายมาเจอกัน เม็ดเงินสะพัด สินค้าละลานตา น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง คนยุคนี้คงได้แค่ฟังคนพ่ออุ๊ยแม่อุ๊ย (คนแก่) เล่าให้ฟัง
ฟ้าเริ่มครึ้ม เบาๆ บางๆ ด้วยเมฆสีเทาคิดในใจ ถ้าที่นี่มีมุมท็อปมองจากจุดสูงสุดน่าจะดีไม่หยอก เพราะภาพเวียงกุมกามจะปรากฏตรงหน้าอย่างเด่นชัด คูเวียงและคันดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความยาว 850 เมตร ส่วนความกว้างก็ประมาณ 600 เมตร มองจากมุมท็อปจะสวยกว่ามุมในระดับสายตา โบราณสถาน เจดีย์ กำแพงอิฐ ทิ้งไว้เพียงซากปรักหักพัง
ตามข้อมูลที่เราถือในมือระบุว่า พ.ศ. 2527 เรื่องราวเวียงกุมกามเริ่มเป็นที่สนใจ ไม่ว่าจะนักวิชาการและประชาชนทั่วไป รวมทั้งคนท้องถิ่นเอง หลังค้นพบโบราณสถาน หน่วยงานที่รับผิดรุดเข้าบูรณะ ในที่สุดเมืองโบราณที่หายไปจากแผนที่จึงปรากฏโฉมอีกครั้ง พ.ศ. 2545 ใครมาเชียงใหม่ก็ต้องแวะมาเยือน
ซากโบราณสถานและศาสนสถานที่ได้รับการบูรณะมีมากกว่า 40 แห่ง อาทิ วัดเจดีย์เหลี่ยม วัดช้างค้ำ ซากเจดีย์วัดกุมกาม วัดน้อย วัดปู่เปี้ย วัดธาตุขาว วัดอีค่าง ซึ่งรูปแบบงานศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมนั้นผสมผสานกันทั้งรุ่นเก่าและสมัยเชียงใหม่รุ่งเรือง
คนที่มาเยือนเวียงกุมกามใจร้อนไม่ได้ ทำใจร่มๆ อาจต้องลงจากรถรางบ้าง เพื่อเดินสำรวจในบางจุด แต่ก็ไม่เหนื่อยเกินไป แดดไม่ร้อน ยิ่งเดินได้ชิลๆ ไปหน้าฝนลำบากหน่อย แต่ได้อีกอารมณ์ ฝนปรอยนี่เหมาะเลย ถ่ายรูปไป หวนรำลึกอดีตไป เก๋จะตาย
สำหรับคนที่มีเวลาอยากให้แวะชมซากโบราณสถานและศาสนสถาน ไม่ต้องแวะทุกที่ก็ได้ เลือกเอาตามสะดวก วัดเจดีย์เหลี่ยม (วัดกู่คำ) ก็หมายถึงเจดีย์ทองคำ (กู่ หมายถึง เจดีย์ คำ หมายถึง ทองคำ) ว่ากันว่าพญามังรายโปรดให้ก่อสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1831 องค์พระเจดีย์ประธานรูปทรงมณฑปปลด 5 ชั้น งดงามตามรูปแบบเจดีย์หริภุญไชย
จะเป็น วัดช้างค้ำ (วัดกานโถม) นี่สร้างไล่เลี่ย ฐานเจดีย์ฐานกว้าง 12 เมตร สูง 18 เมตร มีซุ้มคูหาสี่ทิศ แปลกตาดี พระพุทธรูปซ้อนเป็น 2 ชั้น ชั้นล่าง พระพุทธรูปนั่ง 4 องค์ ชั้นบน พระพุทธรูปยืน 2 องค์ วิหารและเจดีย์ทรงมณฑปบนฐานลานประทักษิณเตี้ย บริเวณฐานวิหารพบพระพิมพ์ดินเผาแบบหริภุญไชยฝังไว้โดยรอบทั้งนอกยังมีเจดีย์ทรงมณฑปยอดระฆังปรากฏด้วย
บริเวณเดียวกันคือ วัดปู่เปี้ย มีคนลงคะแนนว่าเป็นวัดที่งดงามแห่งหนึ่งในเวียงกุมกาม ด้วยว่าลงตัวและสมบูรณ์ในเรื่องรูปแบบผังการสร้างวัดและรูปแบบเจดีย์ประธานมณฑป วิหารสร้างยกพื้นสูง เจดีย์ อุโบสถ ศาลผีเสื้อ และแท่นบูชา พร้อมทั้งมีลวดลายปูนปั้นประดับเจดีย์ที่สวยงาม ชวนให้ต้องยกกล้องขึ้นมาเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก
อย่างที่บอก ไปเยือนเวียงกุมกามทั้งที ครึ่งชั่วโมงไม่ได้อะไร 1 ชั่วโมงก็ถือว่าน้อยนิด ต้องสัก 3 ชั่วโมง คุณจะได้อิ่มเอมกับการตามหาอดีตอันมีความหมายแบบไม่มีวันลืม


