posttoday

วางแผนการเงินให้ดี ‘โสด’ หรือ ‘เกษียณ’ ก็มีสุข

09 สิงหาคม 2557

ภาวะคนโสดครองเมืองกำลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก

โดย...นันทิยา วรเพชรายุทธ

ภาวะคนโสดครองเมืองกำลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก ตั้งแต่สหรัฐยันแดนมังกร จนถึงกับมีการตั้งตลาดนัดหาคู่ที่จีน หรือรัฐบาลสิงคโปร์ต้องรับบทแม่สื่อช่วยหาคู่ให้คนในประเทศมาแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่บรรดาทิปส์ให้ความรู้เกี่ยวกับการวางแผนบริหารการเงินจะหันมาจับกลุ่มโสดมากขึ้น เนื่องจากโดยส่วนใหญ่แล้วคนกลุ่มนี้จะเผชิญความท้าทายต่อการเตรียมตัวสู่วัยเกษียณมากกว่าคนที่มีครอบครัว

หลักการบริหารจัดการการเงินของคนโสด (หรือไม่โสดก็ได้) ที่แทบจะเป็นหลักการสากลเหมือนกันหมดทั่วโลกนั้นมีหลักใหญ่อยู่ 3 ประการ คือ “ออม” – “ใช้” – “ลงทุน” ซึ่งข้อหลังนี้ได้เพิ่มเข้ามาให้ทันกับโลกที่หมุนเร็ว โดยเฉพาะ “ภาวะเงินเฟ้อ” ที่อาจทำให้เงินออมส่วนหนึ่งของคุณต้องสูญค่าไปอย่างน่าเสียดายเมื่อถึงวันเกษียณ

ตัดบัญชีทันที 10%

บล็อกของ Taxbugnoms ให้ทิปส์ที่น่าสนใจถึงแผนการออม ใช้ และลงทุน เอาไว้ว่า ทุกครั้งที่มีรายได้ให้แบ่ง 10% ของเงินนั้นเข้าบัญชีเพื่อออมเงินทันทีเพื่อเป็นเงินเย็นสำรองเอาไว้ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นเงินอนาคตอย่างแท้จริงที่ไม่ควรยื่นมือเข้าไปแตะต้อง โดยสามารถเพิ่มสัดส่วนยืดหยุ่นได้อีก

พิธีกรชื่อดังของโลกอย่าง โอปราห์ วินฟรีย์ ก็ได้เขียนบล็อกที่น่าสนใจเรื่องการเงินของสาวโสดเอาไว้เช่นกัน โดยในส่วนของเงินออมนั้น โอปราห์เรียกว่าเป็น “กองทุนฉุกเฉิน” (Emergency Fund) ที่จำเป็นต้องมี โดยควรเป็นรูปแบบของเงินฝากหรือเงินเก็บในรูปแบบใดแบบหนึ่ง แต่ต้องไม่ใช่การนำเงินไปซื้อหุ้นหรือหน่วยลงทุนต่างๆ ที่มีความเสี่ยง เพราะตลาดการเงินโลกที่มีความผันผวนสูงอย่างทุกวันนี้ อาจทำให้เงินออมกลายเป็นเงินสูญได้ทันตา

ใช้ไม่เกิน 40%

ความเป็นอิสระของหนุ่มโสดสาวโสดอาจทำให้สามารถจับจ่ายใช้สอยได้คล่องมือกว่าคนที่มีพันธะจนอาจเพลินแบบไม่รู้ตัวโดยไม่มีใครทักท้วง ดังนั้น คนโสดจึงยิ่งต้องมี “วินัยการเงิน” มากกว่าคนทั่วไป ซึ่ง Taxbugnoms แนะนำให้คนโสดกันรายได้หรือเงินเดือนสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนที่สัดส่วน 40% ห้ามเกินกว่านี้ หรือจะยิ่งดีมากขึ้นหากสามารถคุมสัดส่วนให้น้อยลงได้อีก

โอปราห์แนะนำให้คนโสดยอมเสียเวลาอีกนิด สร้างวินัยการเงินด้วยการ “ทำบัญชีรายจ่าย” (Tax Your Expense) โดยอาจสละเวลาวันหยุดสุดสัปดาห์ในช่วงบ่ายสัปดาห์ละ 1 วัน เพื่อทำรายการง่ายๆ ให้รู้ว่าใช้จ่ายเงินไปกับอะไรบ้าง ซึ่งวิธีนี้ได้รับการคอนเฟิร์มว่าช่วยให้คนโสดสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินได้ดีขึ้น หลังมีสติได้เห็นรายการของที่ซื้อมาในแต่ละสัปดาห์พร้อมจำนวนเงินที่ต้องจ่ายไป

ลงทุนสัก 30%

การแบ่งส่วนรายได้เพื่อลงทุนนั้น ถือเป็นออปชั่นเสริมที่ไม่ใช่ภาคบังคับให้คนโสดต้องเทกคอร์สทุกคน เพราะต้องไม่ลืมว่า “การลงทุนคือความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจ”

อย่างไรก็ตาม ภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งเร็วในทุกๆ ประเทศ โดยเฉพาะในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ ทำให้การออมอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่ออนาคตของคนโสด โดยเฉพาะคนที่ต้องการเกษียณก่อน 60 ปี จึงมีข้อแนะนำให้คนโสดแบ่งเงินได้สัก 30% เพื่อไปลงทุนตามช่องทางต่างๆ เช่น หุ้น ทองคำ น้ำมัน หรือผู้ที่ไม่มีเวลาศึกษาข้อมูลก็อาจเลือกซื้อประกัน ทั้งแบบออมทรัพย์ ประกันอุบัติเหตุ หรือประกันโรคร้ายแรงเพิ่มเติม ซึ่งถือเป็นการลงทุนกับสุขภาพรูปแบบหนึ่งเช่นกัน

หากทำได้คร่าวๆ เช่นนี้ ก็จะถือว่าสามารถใช้เงินที่หามาได้อย่างยากลำบากถึง 80% ได้อย่างคุ้มค่าเหนื่อย และช่วยให้ชีวิตยืดหยุ่นมีเงินเหลืออีก 20% เพื่อนำไปใช้ตามเงื่อนไขชีวิตของแต่ละคนที่ต่างกันอีกด้วย

เคล็ดลับอีกข้อที่เว็บไซต์ทั้งในและต่างประเทศทั่วโลกต่างย้ำตรงกันสำหรับคนโสดก็คือ “อย่าสร้างหนี้โดยไม่จำเป็น” เพราะจะสร้างภาระใหญ่หลวง ทั้งค่าดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม ภาระทางใจ และความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาใหญ่อื่นๆ เป็นดินพอกหางหมูตามมา

ที่สำคัญก็คือ “การแต่งงาน” ไม่ได้ช่วยรับประกันความมั่นคงทางการเงินให้คนโสดเสมอไป เพียงแค่วางแผนการเงินให้ดีก็ใช้ชีวิตโสดให้เป็นสุขอย่างไม่ต้องกังวลได้แล้ว

ถ้าเกษียณแบบไม่โสดล่ะ?

หากเราดำเนินชีวิตมาแบบเตรียมพร้อมที่จะ “โสดอย่างมีคุณค่ายามชรา” แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่มักจะมีการเตรียมการมาอย่างดีแล้วว่าจะมีเงินก้อนหนึ่งเพียงพอ ทั้งสำหรับการใช้ชีวิตและค่ารักษาพยาบาลยามแก่ตัว

ในทางกลับกัน คนวัยเกษียณที่ไม่โสด ซึ่งดูว่ามีความพร้อมมากกว่าเพราะมีคู่ชีวิตอยู่เคียงข้างแก่ไปด้วยกันนั้น อาจไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับชีวิตยามชราดีกว่าก็เป็นได้

ผลการศึกษาเรื่อง “อายุยืนทำให้มั่งคั่งจริงหรือ : การเกษียณและความเสี่ยงของการมีอายุยืน” (Live long and prosper? Retirement and longevity risk) โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนแมนูไลฟ์ พบว่าคู่ปู่ย่าตายายในเอเชียกำลังมีความเสี่ยงที่จะมีเงินไม่พอใช้หลังวัยเกษียณกันมากขึ้น

ความเสี่ยงที่ว่านั้นก็คือ การประเมินว่าตัวเองและคู่ชีวิตจะมีอายุหลังเกษียณ “สั้นเกินไป”

โดยเฉพาะในกรณีที่หัวหน้าครอบครัว ซึ่งเป็นผู้ชายและเป็นเสาหลักทางการเงินของบ้านต้องวางแผนสำหรับชีวิตหลังเกษียณนั้น หลายคนมักจะลืมมองความจริงสำคัญข้อหนึ่งไปว่า “โดยเฉลี่ยแล้วผู้หญิงมักจะมีอายุยืนกว่าผู้ชายประมาณ 510 ปี” ดังนั้น การวางแผนการเงินที่สั้นเกินไปจึงอาจทำให้อีกฝ่ายต้องลำบาก

ในการสำรวจ 10 ประเทศเอเชียนั้น คนไทยเรานับว่ามีอายุยืนหลังเกษียณมากที่สุด เป็นรองเพียงแค่ไต้หวันเท่านั้น โดยคู่สมรสจะใช้ชีวิตหลังเกษียณโดยเฉลี่ยร่วมกันอีก 30.2 ปี มากกว่าที่คู่ปู่ย่าตายายทั่วไปคาดกันว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกราว 13.3 ปี หรือเท่ากับว่าในความเป็นจริงแล้ว เราจะมีอายุยืนกว่าที่เราคาดการณ์กันไว้ถึงเท่าตัวเลยทีเดียว

ส่วนไต้หวันนั้นเป็นชาติที่คู่สมรสมีอายุยืนยาวหลังเกษียณทำงานมากที่สุด 33.2 ปี จากที่คาดการณ์กันไว้ 20.3 ปี ส่วนฮ่องกงอยู่ที่ 30.2 ปี จากคาดการณ์ที่ 19.5 ปี โดยมี จีน มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์ ตามมาตามลำดับ

ต่อ อินทวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ผลสำรวจนี้สะท้อนให้เห็นความเสี่ยงของการมีอายุยืนยาวในระดับสูงกว่าตลาดอื่นๆ ในเอเชีย โดยส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการที่คนไทยเกษียณค่อนข้างเร็ว เนื่องจากลูกจ้างทั้งภาคเอกชนและภาครัฐจำนวนมากอยู่ภายใต้ข้อบังคับของการเกษียณเมื่ออายุครบ 60 ปี

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงอายุยืนยาวอยู่ในระดับค่อนข้างสูงในหลายตลาด เนื่องจากพบว่าค่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวเลขผลผลิตมวลรวมภายในประเทศต่อหัว (GDP per capita) ของประเทศ กับอายุขัยเฉลี่ยของคนในประเทศนั้นมีค่าสูงถึง 66%

ดังนั้น อายุขัยและความเสี่ยงของการมีอายุยืนยาวในไทยจึงอาจเพิ่มสูงขึ้นในอนาคตได้ เนื่องจากคาดการณ์ว่าจะเป็นประเทศที่จะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างแข็งแกร่งและมีรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นอีกหลายปีข้างหน้านี้

ขณะที่ ไมเคิล ดอมเมอร์มัธ ประธานฝ่ายการจัดการสินทรัพย์ระหว่างประเทศของแมนูไลฟ์ กล่าวว่า การวางแผนควรต้องนำคนข้างตัวมาเป็นองค์ประกอบด้วย เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง (โดยเฉพาะภรรยา) จะมีอายุยืนกว่าอีกฝ่าย ดังนั้นหากไม่นำปัจจัยความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะมีอายุยืนกว่ามาพิจารณาด้วยจึงอาจเพิ่มความเสี่ยงที่เงินออมไม่พอใช้หลังเกษียณ

“เป็นเรื่องสำคัญที่ควรตระหนักว่าแต่ละคนจะมีโอกาสถึง 50% ที่จะมีอายุยืนยาวกว่าระยะเวลาเฉลี่ยที่คาดไว้ ผลวิจัยของเราชี้ว่าในประเทศไทยนั้น ความเสี่ยงที่เงินออมจะหมดลงก่อนสิ้นอายุขัยจะลดลงได้อย่างมาก หากคู่สมรสมีการเกษียณอายุช้าลงหรือเพิ่มตัวแปรด้านระยะเวลาในการวางแผนทางการเงินให้ยาวนานขึ้นอีก 7-11 ปี” ดอมเมอร์มัธ กล่าว

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด ซันเดอร์แลนด์ พบ นิวคาสเซิ่ล พรีเมียร์ลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68