posttoday

‘หมอล็อต’ ภัทรพล มณีอ่อน ชายหนุ่มผู้รักการบุกเบิก

27 กรกฎาคม 2557

ไม่ว่ามนุษย์จะทำร้ายสัตว์ป่าแค่ไหน แต่สุดท้ายเมื่อมันใกล้ตาย สัตว์ป่าทุกตัวจะคิดเสมอว่า มนุษย์เป็นที่พึ่งสุดท้าย

โดย...พงศ์ พริบไหว ภาพ กิจจา อภิชนรจเรข

ไม่ว่ามนุษย์จะทำร้ายสัตว์ป่าแค่ไหน แต่สุดท้ายเมื่อมันใกล้ตาย สัตว์ป่าทุกตัวจะคิดเสมอว่า มนุษย์เป็นที่พึ่งสุดท้ายที่จะช่วยมันได้

หมอล็อต หรือ นสพ.ภัทรพล มณีอ่อน นายสัตวแพทย์ประจำกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พูดถึงความเชื่อมโยงระหว่างสัตว์ป่ากับมนุษย์ ซึ่งเป็นทั้งผู้ล่าและผู้หวงแหนในเวลาเดียวกัน เขาอธิบายต่อว่าหากไม่มีผู้ดูแลในเรื่องของการรักษาสัตว์ป่า ตัวเขาอดคิดไม่ได้ว่า กี่ชีวิตต้องสูญเปล่าไปเพราะน้ำมือมนุษย์ นั่นเองทำให้ในวันนี้เขา ทำหน้าที่เกินกรอบอันจำกัดของคำว่าสัตวแพทย์

ครั้นเมื่อ 10 ปีก่อน งานรักษาสัตว์ป่าไม่เคยมีการบันทึกมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์ในประเทศไทย ทว่าเด็กหนุ่มจากเมืองสุรินทร์วัยเพียง 20 ต้นๆ จากคณะสัตวแพทย์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร กลับกล้าตัดสินใจลงมือทำ กระทั่งวันหนึ่งเหนือคำว่าเริ่มต้น เขากลายเป็นผู้บุกเบิกที่เปลี่ยนโลกวิชาชีพสัตวแพทย์ไปไกลในอีกมิติ

“งานของผมมันเริ่มมาจากการตั้งคำถามคือ เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ผมทำงานเชิงนโยบายอยู่ในคณะกรรมาธิการสิ่งแวดล้อมก็ทำงานเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ มีโอกาสได้ลงพื้นที่ในป่าบ่อย พอลงพื้นที่ผมก็เห็นว่าในป่ามีสัตว์ป่าอยู่มาก ก็ถามชาวบ้านแต่ละพื้นที่ว่ามีปัญหาสัตว์ป่าล้มป่วยและบาดเจ็บหรือเปล่า ผมก็ได้ข้อมูลว่ามันมีอยู่จริง แต่สังคมไม่เคยรับรู้เลยว่าสัตว์ป่าบาดเจ็บและล้มป่วย ผมก็ถามต่ออีกว่าถ้าหากสัตว์ป่าเจ็บป่วยแล้วทำไง คนในพื้นที่ก็บอกว่าก็ปล่อยให้ตายไป เพราะไม่มีหมอมารักษา

‘หมอล็อต’ ภัทรพล มณีอ่อน ชายหนุ่มผู้รักการบุกเบิก

 

“คือในอดีตคนทำงานอนุรักษ์เขาจะมองการบาดเจ็บล้มตายของสัตว์ป่าว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะเวลานั้นการปกป้องพื้นที่ป่าคือเรื่องสำคัญที่สุด แต่ในเวลานี้เรื่องสัตว์ป่าบาดเจ็บล้มตายไม่ใช่เรื่องที่เกิดจากธรรมชาติอีกต่อไปแล้ว เมื่อประชากรมากขึ้นการบุกรุกการคุกคามจึงเกิด ส่งผลกระทบให้สัตว์ป่าเกิดการบาดเจ็บล้มตาย ทีนี้พอเป็นแบบนี้ผมก็จึงต้องลงมาทำงานรักษาสัตว์ในป่า เพื่อให้สังคมเห็นบทบาทกับการอนุรักษ์ของงานสัตวแพทย์

ช่วงแรกในการทำงานเรียกได้ว่า หมอล็อตต้องฝ่าฟันปัญหามากมาย ตั้งแต่ความไม่พร้อมในเรื่องของทักษะประสบการณ์ อีกทั้งในเรื่องของอุปกรณ์การรักษา ทุกอย่างสำหรับเขาใหม่หมดไม่มีแม้ต้นแบบหรือตำราเล่มไหนสอนการทำงานยากครั้งนี้ หลายครั้งเหลือเกินชีวิตหล่อๆ ของหมอล็อตก็เกือบเอาตัวไม่รอด เพราะช้างป่าวิ่งกระทืบ ไหนจะอันตรายต่างๆ ในป่าซึ่งเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

“อย่าตายกลับมา คือคำพูดที่ผมได้ยินจากอาจารย์หลายคนที่คอยสนับสนุน ผมไม่รู้หรอกว่างานที่ทำอยู่ต้องทำอะไรบ้าง บางอย่างจะแก้ไขกับมันยังไง ไม่มีต้นแบบและตัวอย่างตอนนั้นเคว้งมาก รู้สึกว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมสู้คือกำลังใจจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้จากเพื่อนร่วมงาน คือเรามีคำว่าศรัทธาในกันและกัน เพราะที่ผ่านมาสัตวแพทย์ไทย ไม่เคยยิงยาสลบกระทิง ช้าง หมี หรือวัวแดงมาก่อน และไม่เคยช่วยสัตว์ป่าบาดเจ็บได้เลย คืออย่างบางทีเราโดนสัตว์ป่าทำร้ายมา คนก็สมน้ำหน้ามันก็บั่นทอนจิตใจนะ แต่ท้ายที่สุดพอรักษาสัตว์ป่าได้ แล้วรอดตายกันทั้งคู่ ก็คิดว่า เออ...ภูมิใจแล้ว”

หลายครั้งคราวยามอยู่ลำพังหมอล็อตอยากถอดใจหนีหายตั้งหลายคราว แต่ด้วยเพราะมีเป้าหมายบางสิ่งอยู่ในใจ ทำให้งานยากในวันนั้นกลับรื่นรมย์ในความรู้สึก เช่น ที่หมอหนุ่มกล่าวไว้

‘หมอล็อต’ ภัทรพล มณีอ่อน ชายหนุ่มผู้รักการบุกเบิก

 

“ผมจะหยุด มันเกิดคำถามแบบนี้มาตลอด เพราะที่ทำอยู่ทั้งอันตรายทั้งกดดัน แต่เมื่อผมมองในอีกมุมว่า ผมคือตัวแทนของวิชาชีพสัตวแพทย์สัตว์ป่า ผมเลยมองข้ามสิ่งต่างๆ ไปหมด และตั้งใจทำงานให้คนรับรู้บทบาทให้คนได้เห็นและเปิดมุมมองใหม่ๆ กับวิชาชีพสัตวแพทย์ป่าในเมืองไทย ที่นอกจากจะมีหน้าที่ดูแลรักษาสัตว์ป่าแล้ว เรายังมีบทบาทสำคัญกับธรรมชาติ มีบทบาทที่สำคัญกับสิ่งแวดล้อมกับงานอนุรักษ์ พอทำมาจนถึงวันนี้ผมก็ไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว มีน้องๆ รุ่นหลังรับรู้ และอยากมาทำงานแบบที่ผมทำ”

แน่นอนว่าที่ผ่านมาบทบาทของหมอล็อตคือสัตวแพทย์สัตว์ป่า เมื่อทำงานจนมีคนหนุ่มรุ่นใหม่เข้ามาแทนที่ได้ เขาจึงขอทิ้งช่องว่างจากจุดนั้นเพื่อผลักดันคนรุ่นใหม่ๆ เป็นทั้งต้นแบบและครูคอยปลูกฝังการทำงานรักษาสัตว์ป่า ส่วนตัวเขาก็หันมาจับงานที่เรียกว่า “สัตวแพทย์เพื่อโลกใบสวย” โดยจะทำงานในเรื่องของการสื่อความหมายของธรรมชาติ ทั้งเรื่องการอยู่รอดของสัตว์ป่า การจัดการปัญหา และโรคระบาดจากสัตว์ที่จะส่งผลมาถึงมนุษย์

“วันหนึ่งผมก็รู้สึกว่าควรพอแล้ว เพราะได้ปูทางให้กับวิชาชีพสัตวแพทย์ในเชิงอนุรักษ์มาพอสมควร อีกทั้งมีน้องๆ มาช่วยเยอะเราก็เลยปล่อย บางทีผมก็ต้องกัดฟันให้น้องๆ รักษาเองเพื่อให้เขาได้เรียนรู้ เพราะการเรียนรู้จากการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ามันเป็นการเรียนรู้ที่เร็ว เพียงแต่ว่าผมต้องบอกขั้นตอนและแนวทางการรักษา ให้น้องๆ อย่างชัดเจนเพราะจะได้ไม่ลำบากแบบที่ผมเคยผ่านมา หากมีเคสไหนที่หนักหนาเท่านั้นผมถึงลุยเอง ฉะนั้นในวันนี้ผมกับการทำงานกับสัตว์ป่าจะลดน้อยลง ไม่ได้ลุยเหมือนเมื่อก่อนละ มาดูเรื่องการจัดการแทน สมมติสัตว์บาดเจ็บหนึ่งตัวเราต้องดูแล้วว่าอะไรคือ สาเหตุให้บาดเจ็บหรืออะไรที่ทำให้เขาล้มตาย ก็ไปแก้ไขตัดตอนตรงนั้นปัญหาก็น้อยลง”

เพื่อนรวมวิชาชีพเดียวกันมักจะแซวหมอล็อตเสมอๆ ว่า การเป็นหมอสัตว์ป่าต้องเป็นหมอที่เก่งที่สุดและโง่ที่สุดในเวลาเดียวกัน เพราะสามารถหาทางเลือกให้กับชีวิตที่ดีกว่าสบายๆ แต่หมอล็อตไม่เลือกทำ แน่นอนว่าจุดนี้เองเขารู้ดีแก่ใจแต่ด้วยหัวใจดวงโตที่มี หมอล็อตยังคงเลือกทำและเมื่อสู้มาถึงจุดหนึ่งตัวเขา จึงอยากให้คนที่จะเดินตามรอยไม่ลำบาก

“แวบแรกรู้สึกดีนะ ที่มีเด็กอยากเป็นแบบเรา คือมันเป็นความประสงค์ของเราอยู่แล้วว่าเราอยากสร้างคนขึ้นมา แต่ในขณะเดียวกันสิ่งหนึ่งที่เราเห็นและผ่านมาคือเราต้องคิดต่อให้พวกเขานะ ว่าเมื่อไรที่มีคนมาทำงานแบบเรา สิ่งหนึ่งคือจะทำยังไงไม่ให้น้องมาลำบาก ตอนทำงานเราเคว้งมากเราลำบากเราเดินในป่าตีนเปล่า เราไม่มีเครื่องมืออุปกรณ์เราไม่มีองค์ความรู้อะไรเลย ฉะนั้นหน้าที่ของผมอีกอย่างในปัจจุบันก็คือ ต้องทำยังไงให้น้องรุ่นหลังมีรองเท้าใส่ มีทางที่เดินโล่งสะดวกไม่ต้องมีแผลเต็มตัวเพราะถูกกิ่งไม้ในป่า

“แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาต้องสร้างเองคือความศรัทธาของสังคมที่มีต่อตัวสัตวแพทย์ เพราะการทำงานกับสิ่งแวดล้อมในวันนี้ เราต้องทำมากกว่าการเป็นสัตวแพทย์ ถ้ามองว่าคุณเป็นหมอคุณเก่งแต่เรื่องทำงานในด้านหมอ แต่คุณดึงดูดใจคนไม่ได้ ทำงานเข้ากับใครในป่าไม่ได้คุณก็จบ เพราะฉะนั้นสำคัญคือการมุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง ศรัทธาเพื่อนร่วมงาน และศรัทธาในงานที่เลือก”

หมอล็อต ทิ้งท้ายไว้เช่นนั้นถึงการทำงาน ก่อนจะขอตัวขยับขึ้นรถโฟร์วีล เพื่อออกเดินทางสู่ผืนป่าตะวันตกที่มีช้างป่ารอการรักษาอยู่

ข่าวล่าสุด

งานเข้า! EU สอบสวน Google ข้อหาผูกขาดเนื้อหาให้กับ AI ของบริษัท