รวยด้วยขยะ ไม่ง่าย... แต่ก็ไม่ยาก
ปัจจุบันบ้านเราเพิ่งเริ่มให้ความสนใจในระบบรีไซเคิลมากขึ้น ทั้งๆ ที่เมืองนอกเมืองนาเขาทำมากันจนเป็นเรื่องปกติ
โดย...พงศ์ พริบไหว
ปัจจุบันบ้านเราเพิ่งเริ่มให้ความสนใจในระบบรีไซเคิลมากขึ้น ทั้งๆ ที่เมืองนอกเมืองนาเขาทำมากันจนเป็นเรื่องปกติ เมื่อมีการตื่นตัวจึงทำให้ระบบธุรกิจกองขยะเริ่มขยับขับเคลื่อนไปได้ไกลกว่าเดิม และที่สำคัญมากๆ ราคาขยะที่เราทิ้งๆ ไปแบบมั่วๆ เรามิเคยรู้เลยว่าวันนี้มันมีมูลค่าเพียงไหน หากนำมาแยกแยะและขายให้ถูกวิธีนั้น สามารถเป็นอาชีพเสริมได้อีกทาง
ก่อนจะไปถึงจุดนั้นควรมาทำความเข้าใจเสียใหม่ ด้วยการเลิกเขินอายและรังเกียจการเก็บขยะกันเสียก่อน อย่าให้ค่านิยมผิดๆ ที่เราเรียนรู้มาว่า อาชีพคนเก็บขยะเป็นอาชีพต่ำต้อยมาเป็นข้อแย้งหัวใจถึงการเก็บออมขยะของเรา
ขั้นแรก เรามาเริ่มเรียนรู้เรื่องขยะกันก่อน จากคำบอกกล่าวของผู้ชำนาญการเรื่องขยะตัวจริงหรือที่รู้จักกันในสมญา “คนบ้าขยะ” อย่าง ดร.สมไทย วงษ์เจริญ ประธานกรรมการ โรงงานคัดแยกขยะเพื่อรีไซเคิลวงษ์พาณิชย์ ซึ่งตัวเขาเองบอกมาว่า การเก็บขยะมิใช่เรื่องน่าอายหากแต่เป็นแสงสว่างแห่งการทำมาหากิน โดยเรียกมันว่า “ธุรกิจขยะขายตรง” ซึ่งสามารถเริ่มทำกันง่ายๆ ได้เลยในครอบครัว
เงินลงทุนน่ะหรือ ไม่จำเป็น!
“ราคาของขยะที่เพิ่มขึ้นทุกวันนี้มันเป็นแรงจูงใจที่ทำให้คนเกิดการคัดแยกขยะ เพราะหลายครอบครัวรู้ว่าจะได้ผลตอบแทนอย่างไร เอาง่ายๆ นะมูลค่าของขยะโดยเฉลี่ยกิโลกรัมละ 8 บาท คนเราทิ้งขยะรีไซเคิลต่อคนวันละ 8 ขีด ตีให้เข้าใจไม่ยาก ก็เสมือนว่าคนเราทิ้งเงินวันละ 8 บาท ถ้ารวมทุกคนทั่วประเทศคร่าวๆ 70 ล้านคน ก็เท่ากับคนไทยกำลังทิ้งเงินวันละ 400 กว่าล้าน/ปี ก็จะเทียบเท่ากับเป็นเงินแสน 6.3 หมื่นกว่าล้านบาท นั่นคือมูลค่าที่เราสามารถจัดการให้เกิดประโยชน์ได้
ถ้ารัฐบาลส่งเสริมให้เกิดสังคมเศรษฐกิจการรีไซเคิลขยะขึ้นในครัวเรือนแบบนั้นได้จริงๆ ประเทศเราก็จะสามารถนำเงินที่ได้จากตรงนี้ไปสร้างอะไรให้กับสังคมได้อีกมากมาย อย่างตอนนี้ที่กรุงเทพฯ มีศูนย์รีไซเคิลร้อยกว่าศูนย์ละ ถ้าเรามีที่แบบนี้เยอะๆ ก็จะสามารถรองรับปริมาณขยะได้มาก แล้วนอกจากสร้างรายได้ยังจะช่วยลดปัญหาขยะท่วมเมืองได้อีก ทั้งเป็นการกู้คืนทรัพยากรธรรมชาติที่ตายแล้วทำให้เกิดใหม่ หยุดยั้งการทำร้ายทรัพยากรโลก ทำให้เกิดการเติบโตในภาคเศรษฐกิจ โดยการโยงเรื่องของธุรกิจที่ผูกพันกับการใช้ประโยชน์จากขยะเหล่านี้สามารถเกิดได้ ถ้าหากเราส่งเสริมการรีไซเคิลขยะขึ้นในครัวเรือน” ดร.สมไทย กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หากใครสนใจจะเริ่มต้นเก็บขยะขาย ถ้าว่ากันตามสมมติฐานของ ดร.สมไทย ในครอบครัวที่มีกันอยู่ 4 คน ก็เท่ากับว่าในหนึ่งวันสามารถหาเงินอย่างน้อยจากการเก็บขยะได้ถึง 32 บาท ทำเงินได้เดือนละ 960 บาท ปีหนึ่งจะเท่ากับ 11,680 บาท ซึ่งเป็นเงินที่ไม่มีต้นทุนแม้แต่น้อย แถมไม่มีการหักภาษีแต่อย่างใด แต่นี่เป็นเพียงการประเมินคร่าวๆ หากในครอบครัวหนึ่งทำกันอย่างจริงจังและรู้วิธีการแยกเก็บและนำขายอย่างถูกต้อง เชื่อแน่ว่าจะมีรายได้จากขยะมากกว่าตัวเลขดังกล่าว
เมื่อเห็นตัวเลขแบบนี้แล้วจะเริ่มอย่างไร ดร.สมไทยแนะว่าควรจะทำความรู้จักกับประเภทขยะกันก่อน ซึ่งมีอยู่ 4 ประเภทใหญ่ๆ คือ ประเภทที่ 1 “ขยะรีไซเคิล” คือ ขยะทำเงินจำพวกกระดาษ พลาสติก โลหะ แก้ว ซึ่งเก็บง่ายและได้ราคา ประเภทที่ 2 คือ “ขยะแห้ง” บางส่วนสามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนได้ เช่น เศษผ้า เศษไม้ กล่องโฟม ถุงพลาสติก ซึ่ง ดร.สมไทยเรียกขยะประเภทนี้ว่า น้ำมันบนดิน
ต่อมาประเภทที่ 3 “ขยะเปียก” เช่น เศษอาหาร ใช้ประโยชน์ได้ทันที อย่างเป็นอาหารสัตว์ ทำปุ๋ย อันนี้อาจไม่ได้สร้างตัวเงิน แต่ก็สามารถลดจำนวนขยะได้ดี ประเภทสุดท้าย คือ “ขยะอันตราย” ก็มีทั้งที่นำไปรีไซเคิลได้และรีไซเคิลไม่ได้ ซึ่งขยะอันตรายที่สามารถนำมารีไซเคิลและทำเงิน คือ น้ำมันเครื่องรถยนต์และแบตเตอรี่เก่านั่นเอง
“การเริ่มต้นรีไซเคิล หนึ่งต้องเริ่มต้นจากใจก่อน ใจเราต้องรีไซเคิลก่อนให้ใสสะอาดและพร่างพรูและรู้จักแยกแยะ แล้วเราก็มาเริ่มต้นจากที่บ้านตัวเอง จากนั้นเราก็ไปศึกษาหาความรู้จากที่ต่างๆ แล้วเวลาแยกขยะไปขายก็ใช้หลักเกณฑ์ง่ายๆ ว่า ถ้ามันมาอย่างไรให้มันไปอย่างนั้น
อย่างเราไปช็อปปิ้งมาได้ถุงเล็ก ถุงกลาง ถุงใหญ่ เราก็เอามาตอกตะปูติดข้างฝาบ้านเลย แล้วแยกออกเป็นประเภทตามขนาดของถุง พอเต็มถุงเราก็หิ้วไปขายมันทั้งถุง ไม่ต้องถึงกับลงทุนเพิ่มหรอก คือไม่จำเป็นต้องมีถังมากสีมาแบ่งแยกให้มันเกะกะหรอก เริ่มแรกก็ลองจากการเก็บขยะที่ทำเงินได้ง่ายๆ อย่างกระดาษ แก้ว โลหะ เหล็ก และพลาสติก ไปก่อนมันง่ายดี”
จากคำแนะนำด้านบนของ ดร.สมไทย ว่าให้เริ่มจากเก็บอะไรที่ง่ายๆ ก่อน ขอยกตัวอย่างโดยการเริ่มกันที่กระดาษ ซึ่งจะมีหลายประเภทมาก ตอนนำไปขายควรแยกขายเพื่อให้ได้ราคา เช่น กระดาษหนังสือพิมพ์ หากเราเรียงขายเป็นมัดๆ สวยงาม จะได้ราคาอยู่ที่กิโลกรัมละเกือบ 4 บาท กระดาษกล่องสีน้ำตาลรวมกันไปขายจะได้ราคาที่ 4 บาท
ราคาของกระดาษแต่ละชนิดก็แตกต่างกันไป กระดาษปอนด์ถูกกว่ากระดาษอาร์ตมัน และกระดาษที่ได้ราคาดีที่สุด คือ กระดาษสมุดและกระดาษที่ใช้ในสำนักงานจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 7 บาท เพราะประเภทนี้จะถูกนำไปรีไซเคิลมาเป็นกระดาษทิชชูชนิดหยาบ หากแยกไปขายแบบชัดเจนจากที่ขายรวมกันได้ราคาแค่ไม่ถึง 3 บาท ก็จะเพิ่มมูลค่าได้เท่าตัว
มาต่อกันที่แก้ว ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ขวดแก้วดีและขวดแก้วแตก ซึ่งราคารับซื้อจะแตกต่างกัน โดยเฉพาะขวดแก้วดี ราคารับซื้อจะขึ้นอยู่กับประเภทขวดอีกด้วย มาเริ่มกันกับการแยกขวดสีขาวกันก่อน ส่วนใหญ่ขวดลักษณะนี้ก็จะมาจากขวดสุราซึ่งขวดสุราไทยและสุรานอกราคาต่างกันลิบ ตอนแยกขายแนะนำขายยกลัง เก็บไปเรื่อยๆ เต็มลังค่อยยกขาย ซึ่งสุราไทยจะอยู่ที่ลังละ 25 บาท ขวดสุรานอกอยู่ที่ 5 บาท ต่างกันราวฟ้ากับดินทีเดียว
หากเป็นขวดจำพวกซอสปรุงรสก็อยู่ที่ลังละ 6 บาท และขวดสีน้ำตาลหรือขวดเบียร์แต่ละยี่ห้อก็ต่างกันเกือบเท่าตัว ที่มีราคาคือขวดเบียร์จากค่ายสัตว์ใหญ่ สนนราคาที่ลังละ 12 บาท โดยขวดใบหนึ่งบอกให้รู้เป็นเกร็ดเล็กน้อยไว้ว่า สามารถนำไปใช้ซ้ำได้อีกถึง 30 รอบทีเดียวครับ
ขยะอีกหนึ่งประเภทที่มีราคาในการขายมากๆ คือโลหะ ซึ่งมีขยะหลายชนิดที่จัดอยู่ในกลุ่มโลหะ ตั้งแต่อะลูมิเนียม ทองแดง ทองเหลือง สเตนเลส และตะกั่ว รวมทั้งแบตเตอรี่ ซึ่งในกลุ่มนี้ทองแดงเส้นใหญ่มีราคาต่อกิโลกรัมสูงที่สุดที่ 206 บาท เนื่องจากประเภทนี้มีหลายอย่างที่ขายทำเงินได้ จึงขอแนะนำสิ่งที่เก็บง่ายๆ ในบ้านก่อน อย่างเช่น อะลูมิเนียมจากฝาจุกน้ำดื่ม ซึ่งหากรวมกันจะขายได้ราคากิโลกรัมละ 23 บาท และอะลูมิเนียมจากฝากระป๋อง ซึ่งจะแพงกว่าที่ราคาขาย 37 บาท/กิโลกรัม ขยะอีกอย่างที่แนะนำ คือ แบตเตอรี่เล็ก หรือที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่า ถ่านไฟฉาย สามารถขายได้กิโลกรัมละ 8 บาท
มาต่อกันที่เหล็ก ซึ่งแบ่งเป็น 4 ประเภท คือ เหล็กเหนียว เช่น ตะปู เหล็กหล่อ เช่น เสื้อสูบรถยนต์ เหล็กรูปพรรณ และเศษเหล็กอื่นๆ โดยในประเภทนี้กระป๋องน้ำที่เราซื้อดื่มก็จัดอยู่ในหมวดนี้ด้วย ก่อนจะนำไปขายเราควรเหยียบให้แบน เพื่อง่ายต่อการเก็บและชั่งกิโลขาย
สนนราคาของกระป๋องประเภทต่างๆ ก็ตกอยู่ที่กิโลกรัมละ 6 บาท โดยราคาซื้อขายเหล็กนอกจากจะขึ้นอยู่กับประเภทและสภาพของเหล็กแล้ว ขนาดเหล็กยังมีผลกับราคาด้วย สามารถเก็บและแยกประเภทไปชั่งกิโลรวมกันได้ เพราะราคาเหล็กมีราคาขายรวมเป็นกิโลกรัมที่สูง
สุดท้ายคือ ขยะพลาสติก ซึ่งแบ่งได้ 2 ประเภท คือ พลาสติกที่มีรูปทรงถาวรไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้และพลาสติกอ่อนตัวสามารถหลอมใช้ใหม่ได้ ซึ่งแนะนำให้แยกประเภทยี่ห้อของขวดเช่นเดียวกับขวดแก้ว โดยน้ำอัดลมสีแดง สีเขียว สีส้ม และสีดำ จะขายได้ราคาดีกว่าสีอื่น ที่กิโลกรัมละ 12 บาท ส่วนขวดน้ำเปล่าสีใสก็แยกขายได้ที่กิโลกรัมละ 11 บาท ขวดน้ำสีขุ่นมีราคาที่กิโลกรัมละ 17 บาท หากไม่แบ่งแยกขวดพลาสติกประเภทต่างๆ และขายแบบเหมารวมกันก็จะได้ราคาเพียงแค่กิโลกรัมละ 6 บาท เรียกได้ว่ากำไรหายไปเป็นครึ่งเชียวล่ะ
นอกจากนั้น ยังมีขยะที่ไม่คาดคิดว่าจะมีราคาสูงสามารถขายได้เงินอย่างแผงวงจร ซึ่งมีราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 200 บาทเลยทีเดียว และน้ำมันพืชเก่าก็ได้ราคาถึงขวดละ 12 บาท ปี๊บละ 220 บาท เตารีดไฟฟ้าอยู่ที่กิโลกรัมละ 5 บาท เครื่องดูดฝุ่นเก่าๆ มีราคาที่ 6 บาท/กิโลกรัม ซึ่งเครื่องไฟฟ้าเก่าที่เสียแล้วทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นพัดลม ตู้ลำโพง เตาไฟฟ้า เครื่องซักผ้า หม้อหุงข้าว ฯลฯ ราคาจะอยู่ที่ราวๆ 3–6 บาท/กิโลกรัม
ขยะหลายๆ ประเภทที่กล่าวมาล้วนมีอยู่ในบ้านหลังหนึ่งแทบทั้งสิ้น ซึ่งก็เป็นการง่ายหากจะเริ่มจากที่บ้านตัวเองก่อน โดย ดร.สมไทยบอกไว้ว่าในบ้านหนึ่งหลังมีขยะมากกว่า 1,400 ชนิด ที่สามารถนำมารีไซเคิลได้ ซึ่ง ดร.สมไทยเองได้ออกหนังสือแนะนำเรื่องขยะมาหลายต่อหลายเล่มแบบไม่เคยหวงวิชา ขยะอันไหนขายได้ทำเงินพี่ท่านเขียนอธิบายอย่างครบถ้วน ซึ่งหากใครสนใจก็สามารถเข้าไปดูข้อมูลเป็นการเริ่มเรียนรู้กันได้ที่ www.wongpanit.com ซึ่งจะบอกราคาขายขยะประเภทต่างๆ ไว้หมดให้ได้ศึกษากัน
ในส่วนของวิธีการคัดแยก หากไม่อยากให้วุ่นวายก็ลองนำวิธีง่ายๆ แบบนี้ไปปรับใช้ เช่น การนำถังหรือภาชนะพลาสติกมาซ้อนต่อกัน เพื่อใส่ขยะจำพวกหนังสือพิมพ์หรือหนังสือเก่าและขวดพลาสติก หรือไม่ก็หาถุงผ้าลูกใหญ่ๆ ห้อยไว้ที่ผนังทำเป็นที่ใส่พวกกระป๋องน้ำอัดลม ส่วนพวกขยะที่อันตรายอย่าง หลอดไฟ กระป๋องสเปรย์ กระป๋องสี ก็หากล่องพลาสติกที่มีฝาปิดมิดชิดมาใส่กันสารเคมีที่อยู่ข้างในรั่ว ตู้เก็บของในครัวถ้ายังว่างอยู่ก็หาถังพลาสติกวางในลิ้นชักสำหรับขยะพวกกระดาษ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนประยุกต์ได้ไม่ยากในบ้านอยู่ที่ว่าจะปรับเปลี่ยนเช่นไร
พอทั้งหมดลงตัวก็เก็บขยะไปเรื่อยๆ ครบ 1 เดือนก็ชวนคนในครอบครัวนำออกไปขาย หากมีมากก็จ้างรถไปส่ง มีน้อยก็หิ้วไปเอง ตามร้านขายของเก่าหรือศูนย์รีไซเคิลใกล้บ้าน เท่านี้ก็ได้เงินมาใช้แบบไม่ต้องลงทุน ทั้งยังช่วยลดปัญหาขยะ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในเรื่องของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
แต่สิ่งสำคัญกว่าตัวเงินหรือเรื่องที่มีต่อการแก้ปัญหาสังคม คือการได้ดอกผล ที่เป็นเสมือนเครื่องมือในการปลูกฝังคนในครอบครัวให้รู้จักคุณค่าของสิ่งที่ถูกทอดทิ้ง


