ชีวิตต้องลอง เพียวสรวิชญ์ ปัญญาโชคไพศาล
ชีวิตคือการทดลอง เมื่อมีโอกาสเข้ามาก็สมควรลองทำดู คือหลักการใช้ชีวิตของหนุ่มใต้
โดย...พุสดีอภิชชญา ภาพ วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี
ชีวิตคือการทดลอง เมื่อมีโอกาสเข้ามาก็สมควรลองทำดู คือหลักการใช้ชีวิตของหนุ่มใต้ เพียวสรวิชญ์ ปัญญาโชคไพศาล นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ผู้มีความสามารถหลายอย่าง ทั้งเป็นนักกีฬาเทควันโดแข่งรางวัล ก่อนจะผันตัวเป็นครูสอนและกรรมการเทควันโดแห่งสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย และล่าสุดเริ่มชิมลางงานวงการบันเทิงด้วยการถ่ายโฆษณา เป็นพิธีกรรายการ และพระเอกเอ็มวี
ประเดิมการทดลองแรก เพียวเล่าว่า เขาเล่นเทควันโดตั้งแต่ ป.3 โดยเริ่มจากมีโอกาสดูการแข่งขันเทควันโดและทดลองเรียนฟรีหลังจบการแข่ง ด้วยความเป็นเด็กซนชอบกีฬาต่อสู้เป็นทุนเดิมจึงรู้สึกสนใจ ทั้งการสนับสนุนของคุณพ่อและครูที่บอกว่ามีพรสวรรค์จึงเรียนมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งได้สายดำแดงซึ่งเทียบเท่าสายดำสำหรับเด็กตั้งแต่ ป.5 เป็นตัวแทนจังหวัดแข่งในระดับภาคและระดับประเทศหลายเวที ล่าสุดได้ที่ 3 ในการแข่งกีฬาเยาวชนแห่งชาติที่อุตรดิตถ์เกมส์ และถูกเรียกตัวเป็นนักกีฬาทีมชาติเมื่อขึ้น ม.ปลาย อย่างไรก็ตามเขาตัดสินใจเบนสายความฝันจากนักกีฬาทีมชาติเป็นเล่นเทควันโดเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยแทนเมื่อเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
“ตั้งแต่ ม.ต้น คิดว่าจะเข้าทีมชาติเพราะพี่วิว (เยาวภา บุรพลชัย) ได้เหรียญทองแดงโอลิมปิกมากลายเป็นแรงบันดาลใจ กระทั่งขึ้น ม.4 เริ่มคิดว่าถ้าเล่นเทควันโดอย่างเดียวถึงช่วงอายุหนึ่งจะทำงานอะไร เล่นกีฬาตลอดไปคงไม่ได้ การเปิดยิมสอนเป็นแค่งานอดิเรกเฉยๆ ก็ได้ หางานหลักที่มั่นคงดีกว่า จึงปรึกษากับพ่อแม่พวกท่านบอกว่าเข้ามหาวิทยาลัยก่อนแล้วค่อยคิดไหม เลือกคณะจะได้รู้ว่าอาชีพเราเป็นอะไรได้บ้าง มีทุนสำหรับนักกีฬาให้ลองหาดู เป้าหมายเพียวเลยเบนจากทีมชาติเป็นเข้ามหาวิทยาลัยแทน
สาเหตุที่เพียวเลือกเข้าวิศวกรรมโลจิสติกส์ เพราะกระแสเออีซีเรื่องระบบโลจิสติกส์มาแรงมาก และคิดว่าวิศวะดูเป็นพวกจริงใจ เพียวเป็นคนใต้ถูกปลูกฝังในหัวอยู่แล้วว่าวิศวกรเป็นอาชีพที่ลูกชายควรทำ ทั้งยังเป็นเด็กสายวิทย์เลยตัดสินใจเข้าที่นี่ซึ่งมีทุนเรียนฟรีสำหรับนักกีฬาอยู่ โดยเงื่อนไขของการได้รับทุนคือต้องมีเกรดไม่ต่ำกว่า 2.75 และมีผลงานทางกีฬาทุกปี แต่ด้วยกิจกรรมและการเรียนในมหาวิทยาลัยที่หนักทำให้ต้องลดการซ้อมและผันตัวไปเป็นกรรมการ ซึ่งจะลงแข่งไม่ได้แล้ว ตอนปี 3 จึงเปลี่ยนเป็นทุนสนับสนุน 1 หมื่นบาท/ปีแทน
สำหรับทุนนี้บังคับให้เกรดไม่ต่ำกว่า 2 และห้ามติด F หรือ D ซึ่งเป็นเรื่องดีครับเพราะบังคับไม่ให้ทิ้งการเรียน”
ในช่วงมหาวิทยาลัยนี้เองที่ทำให้เพียวได้พบกับความท้าทายให้ลองใหม่อย่างวงการบันเทิง และประเดิมงานแรกด้วยการถ่ายโฆษณาภาพนิ่งของ CAT Telecom หลังจากนั้นก็มีโอกาสได้รับงานเป็นโคโฮสรายการศัพท์สอนรวย ทางช่อง 3 และเป็นพระเอกมิวสิกวิดีโอของนักร้องลูกทุ่งสาว อัมพร แหวนเพชร ที่เพิ่งถ่ายทำไป ซึ่งถือเป็นเส้นทางใหม่ที่เพียวไม่เคยวาดฝันไว้ แต่เมื่อโอกาสมาหยิบยื่นถึงที่ เขาจึงเลือกที่จะลองเดินบนถนนเส้นนี้ให้สุดทาง
“ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดจะทำงานในวงการบันเทิงมาก่อนเลยครับ จนมีเพื่อนคนหนึ่งแนะนำ ถามว่าสนใจวงการหรือเปล่า แล้วเพียวเป็นคนที่ถ้ามีงานต้องทำ มีโอกาสเข้ามาต้องลอง เพราะเป็นอีกทางหนึ่งที่เราจะไปได้ พอทำแล้วรู้สึกชอบนะ สนุกดี เหมือนเราได้เรียนรู้เป็นอีกตัวตนหนึ่งผ่านบทต่างๆ ว่าเขาเจออะไรบ้าง รู้สึกยังไง ซึ่งบางเรื่องเราไม่ได้เจอกับตัวเอง ต้องเรียนการแสดงเพิ่ม ซึ่งแรกๆ มีเขินบ้างเพราะเรายังทิ้งตัวเองไม่หมด ยังเอาตัวเราเข้าไปซึ่งไม่ได้ ต้องทิ้งความอายความลังเลทุกอย่าง”
แม้จะทำงานหลายอย่างแต่เพียวยืนยันว่าให้ความสำคัญกับการเรียนมากกว่า ถ้ามีเรียนงานจะขยับออกไป ไม่มีการขาดเรียนเพื่อไปทำงาน เพราะถ้าเรียนตก งานช่วยอะไรไม่ได้ ขณะเดียวกันถ้าว่างจะให้เวลากับงานเต็มที่ นอนน้อยนอนดึกไม่เป็นไร ถึงกระนั้นก็ยอมรับว่าผลการเรียนอยู่ในระดับปานกลาง เกรดตกลงมาจากปีแรก 3.37 เป็น 2.9 เพราะเมื่อก่อนเวลาว่างคืออ่านหนังสือ แต่เดี๋ยวนี้เวลาว่างทุ่มให้กับการทำงาน โชคดีที่มีเพื่อนดีช่วยเรียนช่วยติวประคับประคองกัน
การลองทำอะไรหลายๆ อย่างทำให้เพียวมีโอกาสเลือกเดินมากขึ้น เมื่อถามถึงแผนในอนาคตที่ดูจะไปได้หลายเส้นทาง หนุ่มเพียวบอกว่าเรื่องเรียนไม่ทิ้งแน่นอน จะเต็มที่กับการเรียนเพราะคุณพ่อคุณแม่รอหวังปริญญาอยู่ แม้ตอนนี้จะทำงานมีเงินพอส่งที่บ้านได้บ้าง แต่ท่านบอกเสมอว่า “ให้เรียนก่อนนะลูก” ส่วนหลังเรียนจบได้วาดแผนไว้สำหรับทางทุกสายแล้ว
“ถ้าจบแล้วงานในวงการบันเทิงเป็นหนึ่งในงานที่อยากทำต่อถ้ามีโอกาสครับ ถามว่าเป็นงานที่ยากไหม? มันมีทั้งยากง่ายเป็นธรรมดา ส่วนเหนื่อยไหม? ทุกงานถ้าไม่เหนื่อยแปลว่าเราไม่ได้ทำเต็มที่ ดังนั้นถ้าได้ทำงานนี้คือโอเค สนุกกับมันจริงๆ และถ้าไปให้สูงที่สุดได้ก็อยากพยายามจนถึงจุดนั้น ส่วนงานสายวิศวะตามที่เรียนมาถ้าได้ก็ดีเพราะมีหลายที่ให้เลือกทำ ต้องดูช่วงจังหวะเวลานั้นว่าตรงไหนชัดเจนกว่า ส่วนเทควันโดเพียววางไว้เป็นงานอดิเรกเลย หาเงินสักก้อนเปิดยิมจ้างครูประจำไว้สอน ถ้าวันไหนเพียวว่างค่อยไปสอนเอง เหมือนทุกวันนี้ที่เพียวเข้าไปช่วยอาจารย์สอนที่ยิมช่วงเสาร์อาทิตย์ที่ว่าง”
ส่วนความฝันถึงอนาคตอันใกล้สุดที่หนุ่มเพียวกล่าวปิดท้ายคืออยากทำงานเก็บเงินสักก้อนเพื่อเปิดร้านกาแฟให้แม่ที่กรุงเทพฯ จะได้ขึ้นมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า ช่วงนี้เลยต้องทำงานๆ และเก็บตังค์ๆ (หัวเราะ)


