เมื่อดอกแบงค์เซียบานบนดอยอินทนนท์ (1)
ประมาณปี พ.ศ. 2521 ขณะทำโครงการวิจัยผลิตภัณฑ์ไม้ประดับแห้งให้กับโครงการหลวงที่ จ.เชียงใหม่
โดย...ม.ล.จารุพันธ์ ทองแถม
ประมาณปี พ.ศ. 2521 ขณะทำโครงการวิจัยผลิตภัณฑ์ไม้ประดับแห้งให้กับโครงการหลวงที่ จ.เชียงใหม่ เราทดสอบการปลูกพืชหลายประเภทที่คัดเลือกมาจากกลุ่มที่แสดงศักยภาพในการใช้เป็นวัตถุดิบใหม่ๆ สำหรับการใช้เป็นผลิตภัณฑ์ประกอบการจัดดอกไม้แห้ง หนึ่งในพืชต่างประเทศ (Exotic flowering plants) ซึ่งผู้เขียนเลือกสั่งเมล็ดมาทดลองปลูกคือ ไม้ยืนต้นจากออสเตรเลีย นาม แบงค์เซีย (Banksia)
ที่มาของแบงค์เซีย
พืชสกุลแบงค์เซียในออสเตรเลียมีอยู่ประมาณ 58 ชนิด ส่วนใหญ่เป็นไม้ยืนต้นที่มีเนื้อไม้แข็ง 56 ชนิด ขึ้นอยู่ในภาคตะวันตกของออสเตรเลีย ส่วนที่เหลือกระจายพันธุ์ไปทางภาคตะวันออกและภาคใต้ ยกเว้นแบงค์เซียชนิดเดียว (B.dentata) ซึ่งพบทางเหนือของควีนส์แลนด์และปาปัวนิวกินีในถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในออสเตรเลีย พืชสกุลนี้มีดอกที่ได้รับการขนานนามว่าดอกของนกกินปลี เพราะนกที่ชอบดูดกินน้ำต้อยในดอกไม้เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นนกกินปลีชนิดต่างๆ จะโปรดปรานดอกแบงค์เซียทั้งสิ้น ความจริงวงศ์ของฮันนี่ซัคเคิล (Honeysuckle Family) ที่แท้จริง ได้แก่ วงศ์คาพริโฟลิเอซิอี้ (Caprifoliaceae) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกไม้สายน้ำผึ้ง (Lonicera spp.) ชนิดต่างๆ ซึ่งดอกสายน้ำผึ้ง (Lonicera japonica) นี้เป็นไม้นำเข้าจากจีน ญี่ปุ่น แต่คนจีนในกรุงเทพฯ เรียกว่า กิมงึงฮวย ในญี่ปุ่นคนจีนเรียกมันว่าจินาอินหัว (Jinyinhua) ในบ้านเรามีอยู่สองชนิด คือ Lonicera ferruginea เป็นไม้ในป่าภาคเหนือ เรียกโดยชาวกะเหรี่ยงว่าดอกพอแต่โม ส่วนอีกชนิดพบทางภาคเหนือและเรียกกันทั่วไปว่าหญ้าช้างน้อย (L.simensis) ในบางประเทศ เช่น ภาคตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ต้นสายน้ำผึ้งบางพันธุ์กลายเป็นวัชพืชไปก็มี
ผู้ที่ตั้งชื่อวงศ์ของแบงค์เซียเป็นคนแรก คือนักพฤษศาสตร์สวีดิช ที่เรารู้จักกันดีคือ คาร์ล ลินเนียส (Carl Linnacus) ซึ่งมาพบพืชท้องถิ่นออสเตรเลีย และเกิดความทึ่งในรูปร่างและขนาด ซึ่งมีความหลากหลายของพืชเหล่านี้ ชื่อวงศ์โพรทีเอซิอี้ (Proteaceae) นี้ได้มาจากโพรทีอุส (Proteus) ซึ่งเป็นเทพองค์หนึ่งในนิยายกรีกโบราณของโฮเมอร์ เรื่อง “โอเดสเซ” (Odyssey) ซึ่งบรรยายถึงสงครามระหว่างเทพมีนีลุส (Menelaus) และโพรทีอุส ซึ่งเทคนิคการป้องกันตัวอันชาญฉลาดของโพรทีอุส ก็คือการเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปได้เมื่อถูกจับตัวเอาไว้โดยมีนีลุส ดังนั้นใน ค.ศ. 1737 เมื่อลินเนียสมาพบพืชในวงศ์โพรเทียนี้เข้า เขาจึงตั้งชื่อวงศ์หรือพืชใหม่นี้ว่า โพรทีเอซิอี้ (Family Proteaceae)
ผู้ที่ได้พบกับพืชวงศ์นี้เข้าก็ย่อมเข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดบนพื้นโลกจึงมีเทพในนิยายกรีกปรากฏอยู่ในรูปของพืชในวงศ์นี้เอง
พืชในวงศ์โพรทีเอซิอี้นี้ประกอบด้วยพืช 61 สกุล (Genera) มีสมาชิกถึง 14,000 ชนิด โดยมีจำนวนชนิดในออสเตรเลียอยู่ 700 ชนิด และพืชสกุลแบงค์เซียในวงศ์โพรทีเอซิอี้และมีความหลากหลายทั้งรูปทรงและสีสันรวมอยู่ในพืชสกุลอื่นๆ ของวงศ์ อันได้แก่พืชในสกุลกรีวิลเลีย (Grevillea) ฮาเกีย (Hakea) ไอโซโพกอน (Isopogon) แลมเบิร์ตเตีย (Lambertia) ดรัยแอนดรา (Dryandra) และอื่นๆ
ชื่อแบงค์เซียได้มาจาก Sir Joseph Banksia นักพฤกษศาสตร์และพรานล่าพืชคนสำคัญของโลก
แบงค์เซียซึ่งปลูกและใช้เป็นไม้ตัดใบในโครงการผลิตภัณฑ์ไม้ประดับแห้ง (ดอกไม้แห้ง) ในปัจจุบันมีชื่อเรียกทั่วไปว่า แบงค์เซีย โคสท์ (Coast Banksia : Banksia integrifolia) แบงค์เซียชนิดนี้คล้ายกับ B.dentata ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นเขตมรสุมภาคเหนือของออสเตรเลีย แต่ทั้งสองชนิดนี้ต่างกันที่ส่วนใบ แบงค์เซียโคสท์ ซึ่งปลูกกันบนโครงการหลวงที่ดอยอินทนนท์นี้ บางทีเรียกกันว่าไวท์ฮันนี่ซัคเคิ่ล (White Honeysuckle) นับเป็นชนิดที่มีขนาดใหญ่ทั้งทางด้านความสูง (สูงได้มากกว่า 16 เมตร) และออกดอกได้ตลอดปี ดอกเป็นแบบช่อเชิงลด (Spikes) เต็มไปด้วยเกสรและน้ำต้อยสีเหลือง เป็นสิ่งดึงดูดใจของนกนานาชนิด ผึ้ง และ (ในออสเตรเลียมีพวกสัตว์ที่มีกระเป๋าหน้าท้อง) ต้นแบงค์เซียโคสท์นี้มีความทนทานต่อสภาพอากาศบนดอยอินทนนท์ได้ดี แต่ต้องไม่ลืมว่าต้นแบงค์เซียโคสท์นี้เราได้ปลูกและคัดพันธุ์ (Selection) มานาน เป็นเวลาไม่ต่ำกว่าสิบปี จึงได้ต้นที่ปลูกบนพื้นที่สูงและมีฝนชุกเป็นเวลาหลายเดือนได้โดยไม่เน่าตายไปเสียก่อน


