posttoday

เมื่อดอกแบงค์เซียบานบนดอยอินทนนท์ (1)

13 กรกฎาคม 2557

ประมาณปี พ.ศ. 2521 ขณะทำโครงการวิจัยผลิตภัณฑ์ไม้ประดับแห้งให้กับโครงการหลวงที่ จ.เชียงใหม่

โดย...ม.ล.จารุพันธ์ ทองแถม

ประมาณปี พ.ศ. 2521 ขณะทำโครงการวิจัยผลิตภัณฑ์ไม้ประดับแห้งให้กับโครงการหลวงที่ จ.เชียงใหม่ เราทดสอบการปลูกพืชหลายประเภทที่คัดเลือกมาจากกลุ่มที่แสดงศักยภาพในการใช้เป็นวัตถุดิบใหม่ๆ สำหรับการใช้เป็นผลิตภัณฑ์ประกอบการจัดดอกไม้แห้ง หนึ่งในพืชต่างประเทศ (Exotic flowering plants) ซึ่งผู้เขียนเลือกสั่งเมล็ดมาทดลองปลูกคือ ไม้ยืนต้นจากออสเตรเลีย นาม แบงค์เซีย (Banksia)

ที่มาของแบงค์เซีย

พืชสกุลแบงค์เซียในออสเตรเลียมีอยู่ประมาณ 58 ชนิด ส่วนใหญ่เป็นไม้ยืนต้นที่มีเนื้อไม้แข็ง 56 ชนิด ขึ้นอยู่ในภาคตะวันตกของออสเตรเลีย ส่วนที่เหลือกระจายพันธุ์ไปทางภาคตะวันออกและภาคใต้ ยกเว้นแบงค์เซียชนิดเดียว (B.dentata) ซึ่งพบทางเหนือของควีนส์แลนด์และปาปัวนิวกินีในถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในออสเตรเลีย พืชสกุลนี้มีดอกที่ได้รับการขนานนามว่าดอกของนกกินปลี เพราะนกที่ชอบดูดกินน้ำต้อยในดอกไม้เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นนกกินปลีชนิดต่างๆ จะโปรดปรานดอกแบงค์เซียทั้งสิ้น ความจริงวงศ์ของฮันนี่ซัคเคิล (Honeysuckle Family) ที่แท้จริง ได้แก่ วงศ์คาพริโฟลิเอซิอี้ (Caprifoliaceae) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกไม้สายน้ำผึ้ง (Lonicera spp.) ชนิดต่างๆ ซึ่งดอกสายน้ำผึ้ง (Lonicera japonica) นี้เป็นไม้นำเข้าจากจีน ญี่ปุ่น แต่คนจีนในกรุงเทพฯ เรียกว่า กิมงึงฮวย ในญี่ปุ่นคนจีนเรียกมันว่าจินาอินหัว (Jinyinhua) ในบ้านเรามีอยู่สองชนิด คือ Lonicera ferruginea เป็นไม้ในป่าภาคเหนือ เรียกโดยชาวกะเหรี่ยงว่าดอกพอแต่โม ส่วนอีกชนิดพบทางภาคเหนือและเรียกกันทั่วไปว่าหญ้าช้างน้อย (L.simensis) ในบางประเทศ เช่น ภาคตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ต้นสายน้ำผึ้งบางพันธุ์กลายเป็นวัชพืชไปก็มี

เมื่อดอกแบงค์เซียบานบนดอยอินทนนท์ (1)

 

ผู้ที่ตั้งชื่อวงศ์ของแบงค์เซียเป็นคนแรก คือนักพฤษศาสตร์สวีดิช ที่เรารู้จักกันดีคือ คาร์ล ลินเนียส (Carl Linnacus) ซึ่งมาพบพืชท้องถิ่นออสเตรเลีย และเกิดความทึ่งในรูปร่างและขนาด ซึ่งมีความหลากหลายของพืชเหล่านี้ ชื่อวงศ์โพรทีเอซิอี้ (Proteaceae) นี้ได้มาจากโพรทีอุส (Proteus) ซึ่งเป็นเทพองค์หนึ่งในนิยายกรีกโบราณของโฮเมอร์ เรื่อง “โอเดสเซ” (Odyssey) ซึ่งบรรยายถึงสงครามระหว่างเทพมีนีลุส (Menelaus) และโพรทีอุส ซึ่งเทคนิคการป้องกันตัวอันชาญฉลาดของโพรทีอุส ก็คือการเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปได้เมื่อถูกจับตัวเอาไว้โดยมีนีลุส ดังนั้นใน ค.ศ. 1737 เมื่อลินเนียสมาพบพืชในวงศ์โพรเทียนี้เข้า เขาจึงตั้งชื่อวงศ์หรือพืชใหม่นี้ว่า โพรทีเอซิอี้ (Family Proteaceae)

ผู้ที่ได้พบกับพืชวงศ์นี้เข้าก็ย่อมเข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดบนพื้นโลกจึงมีเทพในนิยายกรีกปรากฏอยู่ในรูปของพืชในวงศ์นี้เอง

พืชในวงศ์โพรทีเอซิอี้นี้ประกอบด้วยพืช 61 สกุล (Genera) มีสมาชิกถึง 14,000 ชนิด โดยมีจำนวนชนิดในออสเตรเลียอยู่ 700 ชนิด และพืชสกุลแบงค์เซียในวงศ์โพรทีเอซิอี้และมีความหลากหลายทั้งรูปทรงและสีสันรวมอยู่ในพืชสกุลอื่นๆ ของวงศ์ อันได้แก่พืชในสกุลกรีวิลเลีย (Grevillea) ฮาเกีย (Hakea) ไอโซโพกอน (Isopogon) แลมเบิร์ตเตีย (Lambertia) ดรัยแอนดรา (Dryandra) และอื่นๆ

ชื่อแบงค์เซียได้มาจาก Sir Joseph Banksia นักพฤกษศาสตร์และพรานล่าพืชคนสำคัญของโลก

เมื่อดอกแบงค์เซียบานบนดอยอินทนนท์ (1)

 

แบงค์เซียซึ่งปลูกและใช้เป็นไม้ตัดใบในโครงการผลิตภัณฑ์ไม้ประดับแห้ง (ดอกไม้แห้ง) ในปัจจุบันมีชื่อเรียกทั่วไปว่า แบงค์เซีย โคสท์ (Coast Banksia : Banksia integrifolia) แบงค์เซียชนิดนี้คล้ายกับ B.dentata ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นเขตมรสุมภาคเหนือของออสเตรเลีย แต่ทั้งสองชนิดนี้ต่างกันที่ส่วนใบ แบงค์เซียโคสท์ ซึ่งปลูกกันบนโครงการหลวงที่ดอยอินทนนท์นี้ บางทีเรียกกันว่าไวท์ฮันนี่ซัคเคิ่ล (White Honeysuckle) นับเป็นชนิดที่มีขนาดใหญ่ทั้งทางด้านความสูง (สูงได้มากกว่า 16 เมตร) และออกดอกได้ตลอดปี ดอกเป็นแบบช่อเชิงลด (Spikes) เต็มไปด้วยเกสรและน้ำต้อยสีเหลือง เป็นสิ่งดึงดูดใจของนกนานาชนิด ผึ้ง และ (ในออสเตรเลียมีพวกสัตว์ที่มีกระเป๋าหน้าท้อง) ต้นแบงค์เซียโคสท์นี้มีความทนทานต่อสภาพอากาศบนดอยอินทนนท์ได้ดี แต่ต้องไม่ลืมว่าต้นแบงค์เซียโคสท์นี้เราได้ปลูกและคัดพันธุ์ (Selection) มานาน เป็นเวลาไม่ต่ำกว่าสิบปี จึงได้ต้นที่ปลูกบนพื้นที่สูงและมีฝนชุกเป็นเวลาหลายเดือนได้โดยไม่เน่าตายไปเสียก่อน

เมื่อดอกแบงค์เซียบานบนดอยอินทนนท์ (1)

 

ข่าวล่าสุด

การปรับบุคลิกของ ChatGPT สู่รูปแบบคำตอบที่ตรงใจยิ่งขึ้น