‘ผ้าขาวม้า’ แฟชั่นรักษ์ไทยแบบเจิดๆ
ผ้าขาวม้า เป็นผ้าสารพัดประโยชน์ที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาเนิ่นนาน ใครจะไปคิดว่าผ้าขาวม้าที่เราเห็นกันมาตั้งแต่ยังเด็กๆ
โดย...ภาดนุ ภาพ วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี/กิจจา อภิชนรจเรข
ผ้าขาวม้า เป็นผ้าสารพัดประโยชน์ที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาเนิ่นนาน ใครจะไปคิดว่าผ้าขาวม้าที่เราเห็นกันมาตั้งแต่ยังเด็กๆ วันนี้มันจะกลายเป็นสินค้าหลากหลายชนิดที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ได้ดี เพราะได้รับการออกแบบให้มีดีไซน์ที่กิ๊บเก๋ มีสีสัน และลวดลายที่มีความเป็นแฟชั่นมากยิ่งขึ้น จึงโดนใจทั้งลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ
‘พาคาเมี่ยน’ สินค้าดีไซน์เก๋ไก๋จากลายผ้าขาวม้า
ณัฐวรรณ โกมลกิตติพงศ์ หรือ แอน เจ้าของแบรนด์ เล่าว่า จุดเริ่มต้นของพาคาเมี่ยน (Pakamian) นั้นมาจากการที่เธอรู้สึกอิ่มตัวกับงานด้านโฆษณาที่ทำมาหลายปี จึงคิดอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองสักหนึ่งอย่าง แอนจึงจับเข่าคุยกับแฟนหนุ่ม กฤติน ทวีผลจรูญ ซึ่งเป็นครีเอทีฟจนปิ๊งไอเดียว่าอยากทำสินค้าต่างๆ จากผ้าขาวม้าออกมาจำหน่าย
“ด้วยความที่ครอบครัวแอนตั้งแต่รุ่นคุณปู่ทำโรงงานผลิต ‘ผ้าขาวม้าบ้านไร่’ มานานถึง 40 ปี เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แอนกับแฟนเลยมาคิดกันว่า เราจะนำผ้าขาวม้ามาทำอะไรดีนะ เพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มและสร้างรายได้ที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ เพราะอย่างน้อยเราไม่ต้องลงทุนเรื่องวัตถุดิบ นั่นคือผ้าขาวม้า”
เมื่อตกลงใจได้ว่าจะทำสินค้าเก๋ๆ จากผ้าขาวม้า ทั้งคู่ก็ทำการบ้านครั้งใหญ่ด้วยการไปสำรวจดูสีและลวดลายของผ้าขาวม้าในปัจจุบัน ซึ่งได้คำตอบว่ามันยังไม่มีการพัฒนาในเรื่องของสีและลวดลายมากนัก เพราะจะมีสีหลักๆ อยู่แค่ไม่กี่สี ซึ่งคนทั่วไปจะมองว่ามันดูแก่ ดูเชย ทั้งๆ ที่ลายของผ้าขาวม้ามันก็แทบไม่ต่างจากลายตาราง แนวๆ ลายสก๊อตสุดเก๋
“แอนกันแฟนจึงเริ่มต้นจากการปรับเนื้อผ้า สี และลวดลายของผ้าขาวม้าจากโรงงานของครอบครัวก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งผ้าขาวม้าเมื่อก่อนจะมีแค่ สีขาว ดำ แดง เหลือง น้ำเงิน และลายส่วนมากก็จะเป็นลายตารางใหญ่ๆ เราจึงปรับทั้งสีและลาย โดยทำสีพาสเทลต่างๆ และลายตารางเล็กๆ ขึ้นมา เน้นเส้นสายที่ดูมีชีวิตชีวาให้ดูคล้ายกับลายตารางของต่างประเทศมากยิ่งขึ้น”
ในส่วนของโปรดักต์ แอนได้ปรับรูปแบบของสินค้าให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนยุคนี้มากยิ่งขึ้น โดยก่อนที่จะทำสินค้าแบรนด์ “พาคาเมี่ยน” เธอได้ทำแบบสอบถามคนรุ่นใหม่ว่า เมื่อเห็นผ้าขาวม้าหรือลายผ้าขาวม้าแล้วรู้สึกยังไงบ้าง ข้อดีข้อเสียของผ้าขาวม้าคืออะไร แล้วจึงปรับโจทย์ให้ตรงกับความต้องการของคนรุ่นใหม่ จากวันนั้นถึงวันนี้พาคาเมี่ยนก็อยู่ในตลาดสินค้าที่ทำจากผ้าขาวม้าเป็นเวลา 3 ปีครึ่งแล้ว
“ที่จริงแล้วเทรนด์ของสินค้าจากผ้าขาวม้าทั่วๆ ไปก็มีมานานก่อนพาคาเมี่ยนซะอีก แต่แบรนด์ทั่วไปจะไม่มีคอนเซปต์หรือจุดเด่นที่บ่งบอกความเป็นตัวเองมากนัก แต่พาคาเมี่ยนจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในเรื่องสีสันและลวดลาย ใครถือสินค้ามาเราจะรู้เลยว่าเป็นแบรนด์ของเรา อย่างกระเป๋าผ้าที่ร้าน ‘บี้สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว’ ก็เคยถือนะคะ พอแฟนคลับของบี้เห็นก็โทรมาสอบถามที่ร้านกันใหญ่เลย หรืออย่าง ‘เวียร์ศุกลวัฒน์ คณารศ’ ก็เคยใช้หมอนอิงใบเล็กๆ ของเราเช่นกัน ซึ่งการที่คนดังมาใช้สินค้าของเรา มันก็ช่วยให้มียอดขายเพิ่มขึ้นค่ะ”
แอนบอกว่า สินค้าของพาคาเมี่ยนแบ่งออกเป็น 5 ประเภทหลักๆ คือ 1.เบาะรองนั่งและหมอนอิง 2.ผ้าพันคอต่างๆ 3.กระเป๋าต่างๆ เช่น กระเป๋าย่าม กระเป๋าโน้ตบุ๊ก กระเป๋าตังค์ กระเป๋าคลัตช์ 4.สมุดโน้ต และ 5.ตุ๊กตาผ้าและพวงกุญแจ ซึ่งมีให้เลือกมากมายหลายแบบ
“ผลตอบรับจากลูกค้าชาวไทยค่อนข้างดีมากค่ะ มีถึง 65% เลยล่ะ ส่วนใหญ่อายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป ซึ่งชอบความแปลกใหม่และกล้าที่จะลองใช้สินค้าของเรา ส่วนลูกค้าชาวต่างชาติก็ชื่นชอบ เพราะสีสันและลวดลายของสินค้าซึ่งแตกต่างจากผ้าขาวม้าสมัยก่อน ตอนนี้ก็มีการส่งออกไปยังประเทศแถบยุโรป เช่น สเปน ฝรั่งเศส อิตาลี ส่วนเอเชียก็มี ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ในอนาคตคิดว่าจะขยายตลาดไปยังอเมริกาและอังกฤษด้วย ก็รู้สึกดีใจค่ะที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันสินค้าไทยให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก”
“พาคาเมี่ยน” มี 2 สาขา คือ รามอินทรา กม.8 และโครงการเอเชียทีค ดูข้อมูลได้ที่ Facebook.com/pakamian โทร. 086-344-5059
‘ยอร์’ รองเท้าหนังผสานลายผ้าขาวม้า
ยอร์ (Yhor) คือรองเท้าหนังแท้ที่ผสมผสานลายผ้าขาวม้าและผ้าไทย เพื่อสร้างจุดเด่นและความน่าสนใจให้กับรองเท้า ซึ่ง วีรวิชญ์ ส่งพิริยะกิจ เจ้าของแบรนด์ได้แรงบันดาลใจมาจากรองเท้าหนังระดับโลกจากอิตาลี ที่มีการนำผ้าซาตินมาผสมผสานกับตัวรองเท้า เขาจึงคิดว่าทำไมเราไม่ใช้ผ้าไทยอย่างผ้าขาวม้าซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายมาผสมผสานเป็นลายรองเท้าหนังให้ดูดีมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองบ้างล่ะ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์รองเท้าหนังที่ชื่อว่า “ยอร์”
“เดิมทีแล้วผมทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศอยู่หลายปี จนวันหนึ่งก็มาคิดว่าทำไมเราไม่ทำธุรกิจอะไรสักอย่างเป็นของตัวเองล่ะ คือคุณพ่อผมท่านเคยเปิดร้านขายรองเท้าหนังที่รับมาจากประเทศในแถบเอเชียมาก่อน มันจึงเป็นแรงผลักดันให้ผมรักการค้าขายและฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองไปด้วย”
คิดได้ดังนั้น วีรวิชญ์ จึงไปเข้าคอร์สเรียนหลักสูตรการทำรองเท้าที่ “โรงเรียนสอนออกแบบช่างทำรองเท้าแห่งประเทศไทย” เป็นเวลา 1 ปี จึงได้รู้ว่าแพทเทิร์นโดยทั่วไปของรองเท้าแต่ละข้างนั้นจะมีหนังหน้า (หรือชิ้นส่วนต่างๆ ของหนังที่มาประกอบกันเป็นรองเท้า) 10 ชิ้นด้วยกัน
“ผมได้ไปเดินหาวัสดุประเภทหนังแถววงเวียนใหญ่ ซึ่งเป็นแหล่งใหญ่เลย และได้ไปเดินดูผ้าขาวม้าจากกลุ่มทอผ้าของหมู่บ้านซึ่งจะเป็นพวกป้าๆ ที่ทอผ้าขาวม้าด้วยกี่ทอโบราณ ส่วนการเลือกโทนสีและลายผ้านั้นผมจะเลือกที่มันดูแล้วแมตช์กับตัวหนังและรูปแบบของรองเท้าได้ดี โทนสีส่วนใหญ่จะเป็นแบบไทยร่วมสมัย พูดง่ายๆ คือ ลวดลายไม่เชยเกินไปหรือสีไม่จัดจนเกินไป”
วีรวิชญ์ บอกว่า แรกๆ ก็มีอุปสรรคเยอะ ทั้งเรื่องการหาโรงงานที่จะผลิตรองเท้าให้ อีกทั้งช่างทำรองเท้าในโรงงานส่วนใหญ่จะเป็นคนหัวเก่าที่ไม่ค่อยมีความคิดสร้างสรรค์และทุ่มเทให้กับชิ้นงานมากนัก เขาจึงต้องใช้เวลาหาโรงงานอยู่เกือบ 1 ปี จนกระทั่งได้โรงงานผลิตสินค้าที่ต้องการสมความตั้งใจ
“ตอนเปิดตัวรองเท้า ผมได้ไปออกบูธแสดงสินค้าที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นเป็นที่แรก เพื่อเป็นการแนะนำสินค้าให้คนต่างชาติรู้จักก่อน จากนั้นจึงเริ่มเปิดช่องทางการขายในเมืองไทยโดยมีช่องทางหลักๆ คือ โซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างเฟซบุ๊กและคอมเมอร์เชียลเว็บไซต์ต่างๆ ที่คนรู้จักกันดี เช่น ลาซาด้า ซาโลร่า กูรูวาน และร้านขายของที่ระลึกตามโรงแรม ส่วนช่องทางอื่นๆ จะเป็นการออกบูธตามงานต่างๆ และตามตึกออฟฟิศในเมือง ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนไทย 80% คนต่างชาติ 20% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนไทยยังมีความสนใจสินค้าจากลายผ้าขาวม้าหรือลายผ้าไทยอยู่มาก และไม่ได้มองว่าสินค้าเหล่านี้เชยและตกยุคเสมอไป”
สินค้าในตอนนี้มีทั้งรองเท้าหนังของผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรองเท้าสไตล์ลำลอง วีรวิชญ์ บอกว่า เร็วๆ นี้กำลังจะออกแบบรองเท้าหนังที่ใส่ทำงานได้ให้มากขึ้น โดยจะนำลายผ้าไปอยู่ที่พื้นด้านในหรือส่วนซับในของรองเท้าเพื่อให้ดูเรียบร้อยยิ่งขึ้น ซึ่งประโยชน์สำคัญของการมีผ้าไทยทอมือมาเป็นซับในรองเท้าก็คือ จะช่วยลดกลิ่นเหม็นอับของรองเท้าได้ เพราะผ้าไทยมีคุณสมบัติแห้งง่ายและระบายความชื้นได้ดี แถมผ้าไทยยังมีความทนทานกว่าซับในประเภทหนังซึ่งจะเกิดกลิ่นอับได้ง่ายกว่าอีกด้วย
“ในอนาคตผมคิดไว้ว่าจะพัฒนารูปแบบและสไตล์ของรองเท้าให้หลากหลายยิ่งขึ้น และจะผลิตสินค้าแต่งบ้าน เช่น โคมไฟ และอื่นๆ ออกมาลองตลาดด้วย โดยตลาดที่มองไว้จะเน้นตลาดในประเทศแถบเอเชียและอาเซียน เช่น ญี่ปุ่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นหลัก ผมว่ายุคนี้การขายสินค้าในเว็บไซต์ออนไลน์เป็นสิ่งที่แพร่หลายทั่วถึงกันได้อย่างรวดเร็ว เทรนด์ของสินค้าก็สามารถดูได้จากแบรนด์ที่ขายในประเทศนั้นๆ และสินค้าในออนไลน์เป็นหลัก ซึ่งรูปแบบของสินค้าในแถบอาเซียนจะมีความคล้ายคลึงกันมาก ผมจึงคิดว่าตลาดรองเท้าน่าจะมีอนาคตที่สดใสครับ” อัพเดทได้ที่ www.yhorstyle.com, Facebook.com/yhorstyle โทร. 084-529-5144
อัพเดทสินค้าแฟชั่นจากผ้าขาวม้า
“อาร์ต เลน ป๊อป อัพ ช็อป @ สยามเซ็นเตอร์” เป็นการรวมตัวกันของศิลปินทั่วฟ้าเมืองไทย เช่น เมนาท นันทขว้าง อัมฤทธิ์ ชูสุวรรณ ศักดิ์วุฒิ วิเศษมณี วรรณศิริ คงมั่น ฯลฯ ที่ช่วยกันนำผ้าขาวม้าซึ่งเป็นผ้าฝ้ายทอมือจากชนบทมาสร้างสรรค์เป็นสินค้า แฟชั่นเทรนดี้ และไลฟ์สไตล์ออกวางจำหน่ายที่สยามเซ็นเตอร์ ตั้งแต่วันนี้15 มิ.ย. 2557 เพื่อร่วมอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นและนำกำไรกลับคืนสู่ชนบท ผู้ที่รักแฟชั่นและงานดีไซน์ตามไปอุดหนุนผลงานของดีไซเนอร์ไทยรุ่นใหม่ได้ที่งาน “Siam Center Presents Pop FaD by DITP” สยามเซ็นเตอร์ ชั้น 2 หน้าทางออกบีทีเอสสยาม


