posttoday

สบตา ...ใครคิดว่าไม่สำคัญ

28 พฤษภาคม 2557

โดย...หนูดี – วนิษา เรซ

โดย...หนูดี – วนิษา เรซ

สมองของเรานั้น จะว่าฉลาดก็แสนจะฉลาด แต่จะว่าหลอกง่ายก็แสนที่จะหลอกง่าย หนูดีว่า สมองก็เหมือนเด็กซนๆ แก่นๆ ฉลาดคนหนึ่ง แม้จะฉลาดแค่ไหน แต่เด็กก็เป็นเด็ก โดนหลอกนิดหน่อยก็งงล่ะ

วันนี้ เราจะมาเรียนรู้วิธีหลอกสมองกันดีกว่าค่ะ และจะหลอกทั้งที จะหลอกเรื่องปวดหัวไปทำไป มาลองทดสอบดูสิว่า เราจะสามารถหลอกสมองให้คิดว่า “ตกหลุมรัก” ได้หรือเปล่า

เอาละค่ะ

อันดับแรก เราก็ต้องมาเรียนรู้กันก่อนว่า อาการของคนที่กำลังตกหลุมรักนั้นเป็นอย่างไร มีพฤติกรรมอย่างไรบ้าง เราจะได้ก๊อบปี้ได้ถูก

นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษคนหนึ่ง พบว่า คนธรรมดาทั่วไปเวลาที่พูดคุยกันนั้น จะมีการสบตากันประมาณ 3060% ของการสนทนา แต่สำหรับคนที่ตกหลุมรักกันอยู่นั้น ปริมาณการสบตากันจะอยู่ที่ 75% หรือมากกว่าด้วยซ้ำ

ส่วนนักจิตวิทยาชาวอเมริกันคนหนึ่ง ชื่อ ซิก รูบิน (Zick Rubin) นั้น ขณะเป็นนักศึกษาปริญญาโทอยู่ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน เขาเริ่มสนใจวิธีการวัดปริมาณ “ความรักและการตกหลุมรัก” หลังจากนั้นเมื่อเขามาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและแบรนไดส์เขาก็เริ่มทำแบบวัด แบบทดสอบเพื่อวัดหาความรักระหว่างคู่รักและคู่สมรสขึ้นมา ปัจจุบันนี้โด่งดังและยังคงใช้กันอยู่อย่างแพร่หลายเพื่อวัดความรู้สึกระหว่างคนสองคน แบบวัดนี้มีชื่อว่า “รูบิน สเกล” (Rubin’s Scale)

ในงานวิจัยของ ซิก รูบิน ที่มีชื่อว่า “แบบทดสอบความรักโรแมนติก” หรือ Measurement of Romantic Love พบว่า คนที่มีความรักลุ่มหลงต่อกันนั้น จะมองสบตากันบ่อยและยาวนานกว่าคนทั่วไป และหากระหว่างการสนทนานั้น มีบุคคลที่สามเดินเข้ามา พวกเขาทั้งสองคนจะหันไปมองคนบุกรุกช้ากว่าคนทั่วไปที่ไม่ได้ตกหลุมรัก

ครั้งหนึ่งเขาทำงานวิจัยโดยขอให้คู่รักมาตอบคำถามที่ห้องวิจัยของเขาจำนวนหลายคู่ เมื่อมาถึงนั้น เขาจะบอกทุกคู่ว่า เขาขอเวลาสักพักเพื่อเตรียมตัว ขอให้ทั้งคู่นั่งรอในห้องพักเล็กๆ ที่เขาเตรียมไว้ให้

ระหว่างนั่งรอนั้นเอง คู่รักทุกคู่ไม่รู้หรอกว่า นั่นคือตัวงานวิจัย! เพราะ ซิก รูบิน ได้แอบซ่อนกล้องวิดีโอและเครื่องบันทึกเสียงไว้ เพื่อดูว่าคู่รักมีสไตล์การคุยกันอย่างไร สบตากันบ่อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับคู่ที่อาจเป็นแค่เพื่อนกัน หรือเป็นคนแปลกหน้า

สิ่งที่ ซิก รูบิน พบก็คือ คนที่เป็นคู่รักกันนั้น จะมีอัตราการสบตากันที่สูงมาก บ่อยมาก และสบตากันแต่ละครั้งก็มองตากันนานๆ

เมื่อมาถึงตรงนี้ เราคงพอมองเห็นภาพแล้วว่า การสบตานั้น เป็นกุญแจสำคัญตัวหนึ่งสำหรับการตกหลุมรัก

ดังนั้น หากเราต้องการย้อนศร และอยากทำให้คนที่ไม่ได้ตกหลุมรักเราอยู่เลย หันมาสนใจและตกหลุมรักเรา หรือกระตุ้นความรู้สึก “รัก” ให้เกิดขึ้นในสมอง และส่งต่อไปที่หัวใจของคนที่เราพูดคุยอยู่ด้วยนั้น เราสามารถ “ทริก” สมองได้ง่ายๆ ด้วยการ “สบตา” ค่ะ

นี่เอง คือ สิ่งที่นักวิจัยค้นพบ

การสบตานั้นทรงพลังมหาศาล และเราไม่ต้องรอให้ตกหลุมรักก่อนแล้วค่อยเกิด เพราะบางครั้งเราจำเป็นต้องใช้พลังงานความรักนี้อย่างเร่งด่วน เช่น เรากำลังถูกสัมภาษณ์เพื่อรับเข้าทำงาน หรือสัมภาษณ์เพื่อเรียนต่อโปรแกรมปริญญาโท และเราต้องการให้อีกฝ่ายมีความผูกพันทางอารมณ์กับเราอย่างเร่งด่วนที่สุด ให้เรารีบ “สบตา” เขาอย่างเต็มที่ ใส่พลัง

วิธีการที่นักวิจัยแนะนำให้เราทดลองทำ คือ จ้องเข้าไปในลูกตา อย่ามองที่คิ้ว อย่ามองที่สันจมูก แต่ให้รู้สึกเหมือนเรากำลังพิจารณาลูกตาดำของคนที่ถูกมองอยู่นั้น

ขอสารภาพว่า ขณะเขียนต้นฉบับนี้ หนูดีหยุดพอส และหันไปเรียกน้องสาว “น้องหนูหวาน” และพูดอะไรด้วยอย่างหนึ่งพร้อมกับสบตาน้องอย่างมากกว่าปกติ พอจบสองสามประโยคก็ถามว่า “หนูหวานรักหนูดีหรือเปล่า” น้องตอบว่า “ไม่ ฮ่าฮ่าฮ่า”

แหะ แหะ อันนี้ก็เป็นการเก็บข้อมูลชิ้นเล็กๆ ขำๆ ของหนูดีที่บ้านนะคะ

ส่วนตัวหนูดี คิดว่า การจ้องตาหรือสบตานานเกินไป มันอาจทำให้เราอึดอัดหรือรู้สึกแปลกๆ ได้ ดังนั้น ข้อมูลจากงานวิจัยชิ้นนี้ หนูดีเอามาเล่าให้ฟังเป็นตัวเลือก และเป็นข้อสังเกตว่า เราสบตาคนทั่วไปในชีวิตของเราน้อยเกินไปหรือเปล่า

หนูดีเองอ่านแล้วก็มาสังเกตตัวเองว่า บางทีกับคนบางคนเราก็สบตาน้อยไปจริงๆ มองไปทางอื่นบ้าง มองสิ่งของบ้าง ก็ได้ฤกษ์หันมาบอกตัวเองว่า สบตาเพิ่มอีกนิดหนึ่งก็ดี เพราะบางทีก็เขินนะคะ สบตากับคนที่ไม่ได้รู้จักสนิทกันมาก่อน

ครั้งหนึ่งเคยมีคนพูดถึง จอห์น เอฟ. เคนเนดี ประธานาธิบดีสหรัฐ ขณะยังมีชีวิตอยู่ว่า เขาเป็นคนที่มีสเน่ห์มาก เพราะเวลาเขาคุยกับใครนั้น คนคนนั้นจะรู้สึกว่ามีเพียงเขาและท่านประธานาธิบดีเพียงสองคนในโลกเท่านั้น เพราะเขาจะตั้งใจฟังและมองสบตาคนคนนั้นคนเดียว แม้จะมีคนอื่นในห้องอีกเป็นร้อยก็ตาม

สิ่งที่น่าสนใจ ก็คือ การสบตาเป็นประสบการณ์ที่ทรงพลังอย่างน่ากลัวค่ะ หากใครไม่เคยลอง หนูดีขอให้ลองประสบการณ์หนึ่งนาทีอันลืมไม่ลงนี้ หนูดีเคยทำที่เวิร์กช็อปของงานประชุมด้านสมองที่ MIT ในปีหนึ่ง นั่นก็คือ ให้เราจับคู่กับคนแปลกหน้า และยืนประจันหน้า มองสบตากันเฉยๆ หนึ่งนาทีเต็มๆ และหากทั้งคู่เป็นเพศเดียวกัน เราสามารถต่างฝ่ายต่างเอามือไว้ที่ “หัวใจ” ของอีกฝ่ายได้ด้วย คู่ของหนูดีเป็นผู้หญิงฝรั่งค่ะ เราตัดสินใจเอามือวางบน “หัวใจ” กัน และสบตากัน

ขอสารภาพว่า มันเป็นหนึ่งนาทีที่ทั้งเขิน ทั้งประหลาด ทั้งผูกพัน และทั้งสงบเกินบรรยาย มันแปลกมากค่ะ และเกือบสิบปีผ่านมา หนูดีไม่เคยลืมเธอหรือความรู้สึกครั้งนั้นเลย

ใครว่า การสบตา ไม่สำคัญอะไร พรุ่งนี้ ให้เราลองตั้งใจว่า เราจะสบตามากขึ้นกว่าเดิม และคอยสังเกตผลที่ได้นะคะ เพราะจากงานวิจัยและ “การสบตา” คือความแตกต่างระหว่างคำว่า “รัก” และ “ไม่รัก” เลยทีเดียวค่ะ

ข่าวล่าสุด

ชายแดนไทย–กัมพูชาปะทะเดือด เกมอำนาจยืดเยื้อข้ามปีใหม่